พอเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ดูเหมือนกับว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกจะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว เริ่มจากการที่หลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ที่ได้เห็นผลว่าสามารถใช้งานได้จริง โดยมีเรื่องจำนวนของผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันราคานํ้ามันดิบในตลาดโลกก็ปรับราคาขึ้นมา จนทำสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่การเริ่มแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ตั้งแต่ปีที่แล้วโดยมีสาเหตุมาจากการที่กลุ่มโอเปคและพันธมิตรสามารถบรรลุข้อตกลงในการควบคุมปริมาณการผลิต ซึ่งการปรับราคาขึ้นของราคานํ้ามันดิบนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการขยับขึ้นราคาหุ้นของกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งหุ้นกลุ่มนํ้ามันและโรงกลั่น หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และหุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือกอื่นๆ
>> ล่าสุดนาง Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา และอดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ออกมาตอกยํ้าว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ควรจะต้องอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจต่อไปด้วยเงินจำนวนมหาศาลอย่างเร่งด่วน โดยเหตุผลว่า “ไม่มีความจำเป็นใดที่สหรัฐฯ จะต้องทนทุกข์ทรมานกับการฟื้นตัวอย่างช้าๆ” ซึ่งคำประกาศนี้ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 20 จุด เช่นกัน จากนี้ไปก็คงต้องมาตามกันดูว่ายังจะมีปัจจัยใหม่ๆ อื่นใดอีกบ้างที่จะเข้ามาช่วยเสริมให้วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นอยู่กลับมาดีขึ้นได้อีก เจ๊เมาธ์เอาใจช่วยทุกคนค่ะ
>> ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารใหญ่อย่าง SCB KBANK BBL และ TMB ถูกไล่ราคาขึ้นมาอย่างโดดเด่นตั้งแต่ช่วงต้นเดือน โดยมีสาเหตุมาจากการคาดการณ์ว่าหุ้นธนาคารน่าจะกลับมาจ่ายเงินปันผลได้เป็นปกติในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกเลิกคำสั่งการห้ามการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล โดยความเคลื่อนไหวราคาหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา พบว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี มีโอกาสสูงถึง 83-100% ที่หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด (Outperform) และมักให้ผลตอบแทนโดยรวมเฉลี่ยดีกว่าตลาดประมาณ 2.5% ดังนั้นในช่วงนี้หุ้นธนาคารที่มีปันผลดีจึงมีความโดดเด่นเป็นพิเศษนั้นเองเจ้าค่ะ
>> กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่า ว่า “เสี่ยต๊อบ-อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์” เถ้าแก่น้อย ที่รินหุ้น TKN ออกมาขายไม่หยุด เช่นเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวออกมาตลอดตั้งแต่ปลายปี 2563 จะขายหุ้นให้ใครต่อใครมากมาย ล่าสุดมาหยุดที่ฝรั่งขนมขบเคี้ยวรายใหญ่ของสหรัฐฯ ลือกันถึงขนาดที่ว่า จบกันที่ราคา 14 บาท …เอาเข้าจริงๆ บริษัทเถ้าแก่น้อย ก็ปฏิเสธข่าวอีก ...เจ๊เมาธ์แนะนำนะว่า ถ้า “เสี่ยต๊อบ” ถือตัว-ถือตน รวยแล้ว ไม่อยากออกสื่อ น่าจะส่งตัวแทน แถลงหนักแน่นไปเลยว่า จะขอกอดหุ้นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 50% ไปจนชีวิตหาไม่ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเกมการเงิน-เกมข่าว-เกมหุ้น ของรายใหญ่ จ้องปล่อยข่าวงาบปลาป่น
>> ไปกันที่ VL อีกสักครั้ง ล่าสุดได้ทำพิธีปล่อยเรือ V.L. 23 ขนาดบรรทุก 2,800 เดทเวทตัน (DTW) ลงนํ้าครั้งแรก (Launching and Naming) ณ อู่ต่อเรือ KHAN Shipyard ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนั้นก็หมายความว่ากองเรื่องที่จะสร้างกำไรและรายได้ตามนโยบาย “ขายเรือลำเล็กเพื่อซื้อเรือที่ใหญ่” ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 25% ต่อปี จากการเพิ่มการให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 45% ในช่วงปี 64-66 นั้นกำลังเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นรูปธรรมแล้วค่ะ โดนแนวทางนี้จะยังคงดำเนินการต่อไป โดยในปี 2565 ซึ่ง VL จะปล่อยเรือบรรทุกลำดับที่ 14 ลงนํ้าอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะเป็นเรือบรรทุกขนาดใหญ่ ขนาด 12,000 เดทเวทตัน ซึ่งนั้นก็หมายความว่าอัตราส่วนการทำกำไรของ VL จะยังขยายตัวต่อเนื่องไปอีกเรื่อยๆ อ้อ...เจ๊ลืมบอกไปว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ให้เป้าหมายราคาหุ้นของ VL เอาไว้ที่ 1.85 บาท นะคะ
>> ช่วงนี้กระแสกัญชงดูเหมือนจะแรงเหลือเกิน แรงจนทำให้มีบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องดื่มและเครื่องสำอางในตลาดหลักทรัพย์หลายรายราคาหุ้นวิ่งแรงไปตามๆ กัน หนึ่งในนั้นก็มี PTG ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มนํ้ามัน PT ปั๊มที่มีจำนวนสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ก็ได้เข้าไปเป็นผู้เล่นในเกมนี้ด้วย และถ้าหากจะถามว่า PTG จะเข้ามาเล่นธุรกิจอะไรที่เกี่ยวกับกัญชง.... เจ๊ก็ตอบไว้ตรงนี้เลยว่า PTG สามารถเล่นได้ทั้งตลาดเครื่องสำอางและตลาดเครื่องดื่มเลยค่ะ อย่างตลาดเครื่องดื่มกัญชง...PTG สามารถบุกตลาดผ่านร้าน “กาแฟพันธุ์ไทย” ที่มีอยู่ในปั๊มนํ้ามัน PT ได้เลยทันที ในขณะที่ถ้าเป็นตลาดเครื่องสำอาง PTG ก็มีฐานลูกค้าในกลุ่มนี้อยู่แล้ว เนื่องจากบริษัทในเครือของ PTG มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสกัดนํ้ามันปาล์ม ซึ่งหนึ่งใมนกลุ่มลูกค้าก็เป็นกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางอยู่แล้วนั้นเอง ดังนั้นถ้าจะบอกว่าบริษัทใดที่จะได้รับอานิสงส์จากการเปิดเสรีกัญชงมากที่สุด เจ๊บอกได้เลยว่าหนึ่งในนั้นคือ PTG นั้นเองเจ้าค่ะ
>> SCGP ค่อยๆ ขยับราคาแบบไปเรื่อยๆ แต่ว่าเห็นผลการเปลี่ยนแปลงราคาที่ชัดเจนมาก ล่าสุดราคาหุ้นของ SCGP สามารถขึ้นไปทำสถิติราคาสูงสุดที่ 49.75 ได้อีกแล้ว และแน่นอนว่าสำหรับเจ๊เมาธ์ เจ๊มองว่า SCGP คงจะไม่หยุดราคาเอาไว้ที่แถวๆ 50 บาท แค่นี้แน่นอน เพราะถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อ Covid-19 แต่ผลกำไรปี 2563 ที่ทำเอาไว้ 6,457 ล้านบาท ก็ดูเหมือนว่าจะยังทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันกลุ่มสินค้าของบริษัทก็ยังเป็นหนึ่งในสินค้าที่เป็น MEGA Trend ของโลก ดังนั้นมุมมองของเจ๊ที่มีต่อ SCGP จึงไม่เคยเปลี่ยนไป บอกได้แค่ว่าหุ้นแบบนี้ต้องมีอยู่ในพอร์ตเจ้าค่ะ