รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat " เกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย การสื่อสารเรื่องแอปพลิเคชันหมอชนะในมือถือ รวมไปถึงเรื่องวัคซีนป้องกันโควิดที่จะนำเข้ามาในไทย โดยมีเนื้อหารายละเอียดดังต่อไปนี้
การสื่อสารเรื่องให้ติดตั้งแอปในมือถือ หากไม่ติดตั้งแล้วอาจมีความผิดนั้น ดูจะเป็นการออกมาตรการโดยเจตนาดีที่อยากได้ข้อมูลเพื่อไปสอบสวนโรคในกรณีเกิดติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม ว่าด้วยเรื่องการออกนโยบายหรือมาตรการใดๆ นั้นจำเป็นต้องพิจารณาให้ดีว่านโยบาย หรือมาตรการนั้นๆ มีความเป็นธรรมต่อประชาชนโดยถ้วนทั่วหรือไม่ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางลบจากการประกาศนโยบายหรือมาตรการนั้นๆ หรือไม่
ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Equity และ Negative externality ตามลำดับ
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ หากนโยบายหรือมาตรการนั้นถูกบังคับใช้แค่คนบางคนบางส่วนในสังคม ก็จะเกิดปัญหาว่าเป็นการบังคับใช้โดยเลือกปฏิบัติ ถือว่าไม่เป็นธรรม เช่น คนมีมือถือจะโดนบังคับให้ทำเพราะกลัวจะผิดกฎระเบียบ แต่คนไม่มีมือถือหรือมีมือถือแบบไม่ใช่ smartphone ก็ได้รับการยกเว้นไปโดยอัตโนมัติ
ในขณะเดียวกัน นโยบายหรือมาตรการนั้นก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบไม่พึงประสงค์หลายเรื่องที่เป็นไปได้ เช่น คนขวัญอ่อนหน่อยก็อาจเข้าใจผิดว่าจำเป็นต้องมีมือถือที่โหลดแอพนี้มาให้ได้ เพราะกลัวว่าเกิดติดเชื้อมาโดยไม่ได้ตั้งใจแม้จะพยายามป้องกันตัวเองแล้วก็ตาม พอไปรักษาแล้วไม่มีมือถือที่มีแอปนี้แล้วจะผิดกฎหมาย จึงต้องดิ้นรนไปซื้อหามา
หรืออีกแบบหนึ่งที่เป็นไปได้คือ กลัวผิดกฎหมาย พอติดเชื้อแล้วนึกได้ว่ามีมือถือแต่ไม่ได้โหลดแอปไว้ เลยโกหกซะเลยว่าไม่มีมือถือ ยิ่งทำให้ยากลำบากในการสอบสวนโรคเพื่อให้ได้ข้อมูลมาเสียอีก เพราะตั้งต้นด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
ดังนั้นทั้งเรื่องความเป็นธรรม และผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นได้นั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ก่อนจะปล่อยนโยบายหรือมาตรการใดออกไป
เรื่องนโยบายวัคซีนก็เช่นกัน...
การจะนำวัคซีนชนิดใดเข้ามาใช้ จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัย และสรรพคุณให้ถี่ถ้วนรอบคอบ เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนคำนึงถึงเรื่องนี้แน่นอน
แต่เรื่องหนึ่งที่ควรคำนึงถึง และถือว่าสำคัญมากคือ การฉีดวัคซีนนั้น แม้จะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ด่านหน้า การฉีดวัคซีนก็ควรเป็นไปตามความสมัครใจ เคารพการตัดสินใจของแต่ละบุคคล เพราะความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนนั้นก็ย่อมมีได้
เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ และบางตัวที่กำลังจะนำมาใช้ ก็อาจยังไม่เห็นการเผยแพร่ข้อมูลการศึกษาวิจัยจนครบระยะที่สามในมนุษย์อย่างละเอียด หากหน่วยงานควบคุมกำกับได้รับข้อมูล ก็จำเป็นต้องเผยแพร่ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ก่อนตัดสินใจ
การทำสงครามกับการระบาดซ้ำนั้นหนักหน่วงกว่าระลอกแรกอย่างมาก และต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทุกคนในสังคม หน่วยงานนโยบายจึงควรระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาด้านความเป็นธรรม และผลกระทบทางลบจากนโยบายหรือมาตรการที่ใช้กับสาธารณะ เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ "รถไฟตกราง"
หากจำกันได้ สิ่งที่เคยมีการเอื้อนเอ่ยออกมาหลายเดือนก่อนสมัยยังคุมการระบาดได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง...#โควิดเป็นโรคประจำถิ่น #ติดเชื้อเป็นเรื่องปกติ #ยึดติด0ไม่ได้ ล้วนเป็นวาทกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะบ่งบอกอะไรหลายอย่าง
ณ เวลานั้น ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่โรคประจำถิ่น การติดเชื้อไม่ใช่เรื่องปกติ ติดง่ายตายได้ และถึงจะยึดติด 0 ไม่ได้ แต่เราเลี่ยงที่จะไม่นำความเสี่ยงต่อการระบาดเข้ามาสู่ประเทศ
แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์ระบาดรุนแรง จนในไม่ช้าอาจเป็นไปตามที่วาทกรรมดังกล่าวได้ หากไม่สามารถดำเนินมาตรการเข้มข้นได้อย่างทันเวลา จนอาจทำให้เปลี่ยนภูมิศาสตร์การระบาดของประเทศให้กลายเป็นแดนดงโรคในระยะยาว
ตอนนี้คงต้องให้กำลังใจประชาชน และบุคลากรในพื้นที่ทุกคน ให้สามารถกำราบการระบาดนี้ลงให้ได้โดยเร็ว จำเป็นต้องช่วยกันสู้ยิบตา เพื่อปกป้องถิ่นฐานบ้านเกิดของเราทุกคน
ช่วยกัน #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ #ใส่หน้ากากเสมอ #อยู่ห่างจากคนอื่นๆ #ทํางานที่บ้าน #ซื้อกลับไปกินที่บ้าน #คอยสังเกตอาการตนเองหากไม่สบายให้รีบไปตรวจ
หวังว่าเราจะทำได้ ..ด้วยรักต่อทุกคน