จากกรณีมีข่าวโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งระบุเกี่ยวกับปัญหาการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ที่ต้องรอให้ อย. อนุญาตการนำเข้า ทั้งที่วัคซีนนั้นได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไปแล้วนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ชี้แจงว่า ภาคเอกชนที่ต้องการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เข้ามาในประเทศ ต้องมายื่นเป็นผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก่อน และยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ของตน
เนื่องจากผู้รับอนุญาตนำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อคุณภาพและความปลอดภัยของวัคซีนที่ตนนำเข้ามา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดประชุมชี้แจงขั้นตอนการนำเข้า การขึ้นทะเบียน การกระจาย และการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564
โดยการประชุมดังกล่าวฯได้มีผู้แทนจากภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกลุ่มตัวแทนโรงพยาบาลเอกชน เข้าร่วมประชุมด้วย
นายแพทย์ไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ระยะเวลาในการพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด ซึ่ง อย. ได้เปิดช่องทางพิเศษพร้อมอำนวยสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ในทุกเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม หากผู้รับอนุญาตส่งเอกสารครบถ้วนตามที่กำหนดจะใช้เวลาในการประเมินและพิจารณาอนุญาตประมาณ 30 วัน
โดยวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจะเป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดของโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) จึงต้องมีระบบการกำกับติดตามความปลอดภัยจากการใช้วัคซีน และจะต้องดำเนินการฉีดในสถานพยาบาลเท่านั้น โดยเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่กรมควบคุมโรคกำหนด
"ภาครัฐไม่ปิดกั้นเอกชนในการนำเข้าและใช้วัคซีนโควิด-19 พร้อมยินดีที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาร่วมกันในการดูแลสุขภาพประชาชน ทั้งในมิติผู้รับอนุญาตนำเข้าวัคซีนของตนเอง และในฐานะผู้ให้บริการฉีดวัคซีน" "
นายแพทย์ไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า หากภาคเอกชนมีข้อสงสัยใด ๆ ในการนำเข้าและขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 สามารถติดต่อสอบถามกับ อย. ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีโรงพยาบาลเอกชนมายื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนแต่อย่างใด