สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดระลอก 3 ที่รวดเร็ว รุนแรง และลุกลามต่อเนื่องไปทั่วประเทศ เห็นได้ชัดจากจำนวน คลัสเตอร์ใหม่ ที่เพิ่มขึ้นทั้งในโรงงาน แคมป์ก่อสร้าง ชุมชนต่างๆ ทำให้คาดว่าจะเรื้อรังจนถึงไตรมาส 3 และหากไม่สามารถตัดวงจรการแพร่ระบาดได้ก็จะลามจนถึงไตรมาส 4 ขณะที่ แผนการฉีด “วัคซีน” ความหวังเดียวของคนไทย ยังคงไร้ทิศทางที่ชัดเจน
นายสมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การกระจายและฉีดวัคซีน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่สำหรับคนไทย ควรมีกรอบกติกาชัดเจนในการจัดสรรวัคซีน โดยเฉพาะการจัดตั้ง ศูนย์กลางบริหารวัคซีน (วอร์รูม) เพราะวัคซีนเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องบริหารวัคซีนในทิศทางเดียวกัน วอร์รูมที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดสรรผ่านศูนย์กลาง แต่แยกระบบการจอง โดยข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นควรจะส่งกลับกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงสาธารณสุขจะต้องนำข้อมูลสรุปเป็นรายวัน ซึ่งวอร์รูมสามารถแก้ไขปัญหาและจัดการได้ทันท่วงที
โปร่งใส ไม่อิงการเมือง
“ตั้งวอร์รูมแล้วมีข้อมูลเป็น Dashboard ข้อมูลต้องมีความโปร่งใส ถ้าการกระจายวัคซีนถูกแทรกแซงโดยการเมืองได้ก็ไม่มีความโปร่งใส และข้าราชการปฏิเสธนักการเมืองไม่ได้ หากไม่มีอะไรคุ้มครองตรงนี้ต้องช่วยการเรียกร้อง ตอนนี้วัคซีนเป็นเรื่องความเป็นความตายของประชาชน ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงทางการเมืองและควรจะรื้อวิธีการคิดและการจัดสรรวัคซีน และไม่สนองตอบเรื่องหาเสียงของพรรค”
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาจาก
1. จำนวนประชากร สภาพเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดและความเสี่ยงในการแพร่เชื้อของจังหวัดนั้นๆ อยู่ในโซนใด ซึ่งการจัดสรรวัคซีนไม่ใช่แบ่งตามเส้นสายทางการเมือง
2.โควต้าที่จะเปิดให้จองออนไลน์ควรยืนยันจำนวนวัคซีนและความสามารถในการฉีดให้ได้ก่อนเปิดจองเพื่อไม่ต้องมายกเลิกการจองในภายหลัง
3.การเปิดจองไม่ควรขึ้นอยู่กับระบบเดียว (หมอพร้อม) ควรจะมีระบบการจองหลายระบบและการรับจองสามารถเปลี่ยนแปลงตามกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มประชาชน
4. เมื่อเปิดให้จองแล้วไม่ควรเปลี่ยนแปลงโควตาตามอำเภอใจ ถ้าจะเปลี่ยนโควตาต้องมีเหตุจำเป็น และการโยกโควต้าต้องไม่กระทบกับประชาชนที่ได้จองไปแล้ว
และ 5. ระบบการฉีดที่โรงพยาบาลควรรองรับส่วนที่จองผ่านระบบของโรงพยาบาล เช่น คนไข้ไปพบแพทย์ตามปกติ ให้โควต้าเพื่อฉีดวัคซีนได้เลย
THG จองซื้อแล้ว
ด้านนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ THG กล่าวว่า วันนี้บริษัทได้ส่งหนังสือจองซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ยี่ห้อ โมเดอร์นา (Moderna Covid19 Vaccine) ซึ่งนำเข้าโดยบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) จำนวน 5 ล้านโดส ในราคาต้นทุนประมาณ 1,926.08 บาทต่อ 1 โดส (รวมค่าตรวจ antibody ค่าภาษี ค่าจัดเก็บวัคซีน ค่าขนส่ง โดยยึดตามเอกสารค่าใช้จ่ายต่างๆ จากหน่วยงานราชการและบริษัทผู้นำเข้า)
โดยเบื้องต้น บริษัทขอวางมัดจำเป็นมูลค่า 30% ของมูลค่าสินค้า แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาเห็นชอบของอภ. เป็นหลัก แต่บริษัทเตรียมเงินไว้ราว 5,000 ล้านบาทสำหรับการจองวัคซีนครั้งนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อได้รับวัคซีน 5 ล้านโดสแล้ว หากโรงพยาบาลใดที่สนใจจะขอแบ่งวัคซีนไปฉีดให้บริการทางบริษัทยินดีที่จะแบ่งจำหน่ายในจำนวนที่เหมาะสมตามแต่ตกลงกัน ในราคาต้นทุนรวมค่าขนส่งและภาษีมูลค่าเพิ่ม
“การสั่งจองวัคซีนนี้เป็นการสั่งตรงกับอภ. ไม่ได้ผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพราะเราต้องการความรวดเร็ว และชัดเจน เพื่อให้ได้วัคซีนอย่างรวดเร็วที่สุดเบื้องต้นคาดว่าหากสั่งได้ในเร็วก็จะได้วัคซีนโมเดอร์นามาฉีดให้กับคนไทยได้ภายในปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม”
สรุปสัปดาห์หน้า
ขณะที่ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ความคืบหน้าของการสั่งซื้อวัคซีนทางเลือก “โมเดอร์นา” นั้นจากเดิมที่เคยมียอดสั่งจองราว 5 ล้านโดส คาดว่าจะขยับเพดานเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านโดส ซึ่งจะสามารถสรุปตัวเลขที่ชัดเจนได้ในสัปดาห์หน้า
“หลังสมาคมโรงพยาบาลเอกชนสำรวจดีมานต์ ซึ่งรอบแรกพบว่ามีความต้องการราว 5 ล้านโดสแต่อาจขยับเพดานขึ้นเป็น 10 ล้านโดส ถ้านำเข้าได้เร็วความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้น หากนำเข้าช้าความต้องการก็จะลดลง ซึ่งคาดว่าจะสรุปจำนวนที่จะสั่งซื้อได้ในสัปดาห์หน้า และแจ้งต่ออภ. เพื่อให้ทำสัญญากับซิลลิคฯ ต่อไป”
เบื้องต้นราคาวัคซีนที่จะให้บริการจะเป็นราคาเดียวกันทั่วประเทศ ตามที่คณะกรรมการจัดหาวัคซีนฯ กำหนด โดยเข็มละไม่เกิน 2,000 บาทและผู้ที่สั่งจองวัคซีนต้องจ่ายเงินเต็ม 100% ให้กับอภ.
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,682 วันที่ 27 - 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง