ซีพี เงินเหลือ ทุ่ม2.3หมื่นล้านซื้อหุ้นคืน

22 มี.ค. 2563 | 23:55 น.

CPALL-CPF ประกาศซื้อหุ้นคืนรวม 23,000 ล้านบาท มั่นใจกระแสเงินสดมีพอ โบรกชี้ไม่กระทบเงินซื้อหุ้น เทสโก้เอเชีย ชี้ช่วยพยุงราคาหุ้นและตอบรับเชิงบวกระหว่างรอซื้อเทสโก้เอเชียปี 2564

ยังคงประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องกับโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลังจากตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกปรับลดลงแรง จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทำให้ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 19 มีนาคม 2563 ลดลง 535.65 จุด หรือ 33.90% โดยบจ.ที่น่าสนใจคือกลุ่มซีพี อย่างบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่มีวงเงินรับซื้อหุ้นคืนรวมกันถึง 23,000 ล้านบาท และที่ผ่านมายังซื้อหุ้นในกิจการเทสโก้เอเชียอีกด้วย

รายงานข่าวจากตลท.เปิดเผยว่า CPALL และ CPF แจ้งโครงการรับซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินว่า CPALL จะซื้อหุ้นคืน จำนวน 180 ล้านหุ้น สัดส่วน 2% ในวงเงิน 13,000 ล้านบาท ส่วน CPF จะซื้อหุ้นคืน จำนวน 400 ล้านหุ้น สัดส่วน 4.65% วงเงิน 10,000 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-30 กันยายน 2563 ทั้งนี้ เฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ราคาหุ้น CPALL ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม-13 มีนาคม 2563 เท่ากับ 68.75 บาทต่อหุ้น และ CPF ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม- 12 มีนาคม 2563 เท่ากับ 27.60 บาทต่อหุ้น ขณะที่ โครงการซื้อหุ้นคืนในอดีตของ CPALL สิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 และ CPF สิ้นสุดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2559

สำหรับข้อมูลกำไรสะสมและสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทข้อมูลจากงบการเงินตรวจสอบงวดล่าสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 CPF มีกำไรสะสมของบริษัทอยู่ที่ 53,294 ล้านบาท มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืนอยู่ที่ 13,005 ล้านบาท มีเงินสดคงเหลือจำนวน 1,066 ล้านบาท นอกจากนี้ ประมาณการว่า จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เงินปันผลรับ และรับคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 จำนวน 27,350 ล้านบาท

ซีพี เงินเหลือ  ทุ่ม2.3หมื่นล้านซื้อหุ้นคืน

ขณะที่ CPALL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 กำไรสะสมของบริษัทอยู่ที่ 48,682 ล้านบาท หนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท มีเงินสดคงเหลือจำนวน 17,895 ล้านบาท รวมถึงประมาณการว่า จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมั่นใจว่าจะมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในอีก 6 เดือนข้างหน้า นับแต่วันที่ซื้อหุ้นคืน และมีเงินสดคงเหลือเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการซื้อหุ้นคืนตามโครงการ

นายวรรธนะ เจตน์จิราวัฒน์ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในรอบก่อน CPALL จะไม่มีการซื้อหุ้นคืนเลยในช่วงปี 2551 - 2552 ที่จะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% แต่การซื้อหุ้นคืนจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้นประมาณ 2% และราคา หุ้นของ CPALL มีการปรับตัว ดีกว่าตลาด -17% เทียบกับตลาด -34% นอกจากนี้ ราคาซื้อคืนที่ 72.00 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 20% จากปัจจุบันที่ 60.00 บาท ซึ่งมองว่า CPALL จะได้ปัจจัยบวกจากทั้งยอดการเปิดสาขาและยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรอดูปัจจัยบวกการซื้อเทสโก้เอเชียในปี 2564

อย่างไรก็ตามมองว่าการซื้อหุ้นคืนของกลุ่มซีพีครั้งนี้ ไม่มีปัญหาด้านเงินทุนที่จะใช้ซื้อหุ้นคืน จากการที่มีกระแสเงินสดเพียงพอในปัจจุบัน รวมถึงไม่กระทบต่อเงินทุนที่จะใช้ในการซื้อกิจการกลุ่มเทสโก้เอเชีย เพราะในส่วนดังกล่าวจะมีการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งมีวงเงินกู้อย่างเพียงพอแน่นอน

ด้านบล.เคทีบี (ประเทศ ไทย)ฯ ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อโครงการซื้อหุ้นคืนของ CPALL โดยบริษัทประเมินว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับตํ่าคาดว่าราคาซื้อหุ้นคืน จะอยู่ที่ประมาณ 72.20 บาท สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน 20% โดยคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วย  หนุนราคาหุ้นและจำกัดการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นได้ ซึ่งในช่วงสั้นจะเกิดแรงเก็งกำไร จากข่าวดังกล่าวและคาดว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมากขึ้นจะยังก่อให้ เกิดการกักตุนอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันไปในช่วงตลอดไตรมาส 1 ปี 2563

 

หน้า 13-14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,559 วันที่ 22-25 มีนาคม 2563