นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 691 บริษัท หรือคิดเป็น 95.4% จากทั้งหมด 724 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปี 2563 และไตรมาส 2/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พบว่า บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 456 บริษัท สัดส่วนคิดเป็น 66.0% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงาน บจ. ใน SET ในครึ่งแรกของปี 2563 มียอดขายรวม 5,026,268 ล้านบาทลดลง 13.3% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core operating profit) 273,267 ล้านบาท ลดลง 43.8% และมีกำไรสุทธิ 187,901 ล้านบาท ลดลง 58.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การลดลงของรายได้ทำให้ดัชนีชี้วัดความสามารถการทำกำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ลดลงจาก 21.3% เป็น 20.5% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit margin) ลดลงจาก 8.4% เป็น 5.4% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ลดลงจาก 7.8% เป็น 3.7%
ทั้งนี้ หากไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายลดลง 5.6% มีกำไรจากการดำเนินงานหลักลดลง 13.3% และมีกำไรสุทธิลดลง 41.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 27.8% เป็น 28.5% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักลดลงจาก 8.3% เป็น 7.6% และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 9.7% เป็น 6.0% ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจปรับตัวได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายที่ลดลงในภาพรวม
ขณะที่ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 บจ. มียอดขายรวม 2,263,438 ล้านบาท ลดลง 22.3% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 143,901 ล้านบาท ลดลง 33.1% และมีกำไรสุทธิ 107,256 ล้านบาท ลดลง 47.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไตรมาส 2/2563 ส่งผลให้ บจ. ไทยได้รับผลกระทบในวงกว้างเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งด้านยอดขายและกำไรสุทธิ อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคจากมาตรการรักษาระยะห่าง (social distancing) ทำให้ บจ. มีการปรับตัวโดยเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงการทำงานจากบ้าน (work from home) ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารมากขึ้น และทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารและกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานหลักปรับเพิ่มขึ้นได้” นายแมนพงศ์ กล่าว
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 บจ. ไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.57 เท่า เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่1.35 เท่า
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มียอดขายรวม 82,540 ล้านบาทลดลง 7.9% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 3,068 ล้านบาท ลดลง 8.4% และมีกำไรสุทธิ 1,086 ล้านบาทลดลง 73.0% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน