รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 2 - 25 พฤศจิกายน 2563 มูลค่าซื้อขายของนักลงทุนแยกตามกลุ่ม พบว่า นักลงทุนสถาบันอยู่ในสถานะขายสุทธิ 3,940.21 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 9,966.51 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 44,090.92 ล้านบาท ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติอยู่ในสถานะซื้อสุทธิ 38,064.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิเดือนแรกของปี 2563 และเป็นการซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 1 ปี 3 เดือน จากการซื้อสุทธิครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันตลาดหุ้นไทย เนื่องจากแรงซื้อในเดือนพฤศจิกายน แม้จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยกว่า 38,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี 2 เดือน แต่ยังมีสัดส่วนที่น้อยไม่ถึง 4% เมื่อเทียบกับแรงขายสุทธิที่มีมาตลอด 8 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ประมาณ 972,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ปีไหนก็ตามที่กระแสเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จะหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นเสมอ ซึ่งเงินทุนต่างชาติ ทุกๆ 10,000 ล้านบาทที่ไหลเข้ามีโอกาสหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3 – 4% ขณะที่ ในปีที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยจะซื้อขายกันด้วยValuation ที่สูงกว่าปกติ คือ มีระดับ Market Earning Yield Cap ต่ำเพียง 3.7% – 4.1% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 4.25%
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงหนุนจากสภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบ โดยเงินฝากในประเทศ ณ เดือนก.ย. อยู่ที่15.34 ล้านล้านบาท สูงเกินกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดในช่วงเดียวกันและยังใกล้เคียงกับมาร์เก็ตแคป ณ ปัจจุบัน 15.59 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นแรงส่งให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อได้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ในระดับต่ำ