5 มีนาคม 2564 นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบโครงการ "คนละครึ่ง" เฟส 3 เพื่อสร้างกำลังซื้อต่อเนื่องให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยขณะนี้คลังกำลังพิจารณาว่า คนที่สมควรได้รับสิทธิ์ ควรที่อยู่ที่จำนวนเท่าไหร่ และวงเงินที่จะให้ต่อรายควรจะเป็นเท่าไหร่ โดยประเมินว่า หากต้องการทั้ง 30 ล้านคนเท่ากับโครงการเราชนะ จะต้องใช้เงินเท่าไร และมีเงินเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้สรุปว่า จำนวนคนที่จะได้รับสิทธิ์นั้นเป็นจำนวนเท่าใด
สำหรับความแตกต่างของโครงการ "คนละครึ่งเฟส 3" ที่จะต่างจาก "คนละครึ่งเฟสแรก" และ "คนละครึ่งเฟส 2 " ก็คือ โครงการเฟส 3 จะเปิดให้ผู้ได้รับสิทธิ์สามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อซื้อบริการได้ด้วย เช่น การจ่ายเพื่อค่าขนส่งสาธารณะ
“สาเหตุที่เราจำเป็นต้องทำโครงการคนละครึ่งเฟส 3 เพราะต้องการเห็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงของการฟื้นฟู ซึ่งโครงการคนละครึ่ง ถือเป็นโครงการที่กระจายไปทุกภาคส่วน โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าร่วมโครงการเกือบ 2 ล้านรายที่ขายสินค้าและบริการ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้คนออกเงินอีกครึ่งหนึ่งเพื่อใช้จ่ายด้วย” นายกฤษฎา กล่าว
สำหรับแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการเฟสที่ 3 นี้จะมาจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านหรือไม่นั้น นายกฤษฎา กล่าวว่า กระทรวงการคลังกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ทั้งนี้ ปัจจุบัน เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท นั้น ในส่วนของที่ใช้เยียวยาประชาชาชน 5.55 แสนล้านบาท ใกล้จะหมดแล้ว ,ส่วนที่กันไว้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กันไว้ 4 แสนล้านบาท ปัจจุบัน เหลืออยู่ราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถโยกมาใช้ในโครงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ,ส่วนเงินที่กันไว้เพื่อการสาธารณะ 4.5 หมื่นล้านบาทนั้น ปัจจุบันได้ใช้ออกไปเพียงเล็กน้อย
นายกฤษฎา ยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทำโครงการช็อปดีมีคืนต่อด้วยนั้น กระทรวงการคลัง คงไม่ดำเนินการต่อแต่จะให้คนหันมาใช้โครงการคนละครึ่งเฟส 3 แทน ในส่วนของข้อเสนอให้กระทรวงการคลัง ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงต่ำกว่า 20 %ในปัจจุบันนั้น นายกฤษฎา กล่าวว่า หากเราต้องการแข่งขันกับประเทศอื่นเพื่อจูงใจนักลงทุนก็อาจพิจารณาปรับลดได้ แต่การเสนอของกระทรวงการคลังนั้น จะต้องเสนอเป็น Package คือ จะต้องมีทั้งลดภาษี และการหารายได้ทดแทน ส่วนที่หายไปด้วย
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังได้ทำโครงการคนละครึ่ง ไปแล้ว 2 เฟส รวมประชาชนได้รับประโยชน์ประมาณ 15 ล้านคน ได้รับวงเงินใน e-wallet คนละ 3,500 บาท สำหรับคนที่สามารถลงทะเบียนได้สำเร็จ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: