การไปเยือนสหราชอาณาจักรช่วงปลายปีที่แล้ว นอกจากผมจะได้ลองขับ "แอสตัน มาร์ติน" ทั้ง DBS DB11 แวนเทจ และไปร่วมการเปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ที่ เซนต์ เอเธนส์, เวลส์ พร้อมเจอตัวเป็นๆของเอสยูวี DBX ที่เตรียมขึ้นสายการผลิตไตรมาสแรกปีนี้
อีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจคือ การไปเยือนโชว์รูม-ศูนย์บริการ “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” (Aston Martin Works) ที่ Newport Pagnell ล่าสุดถูกเพิ่มบทบาทให้เป็นฐานการผลิตรถสปอร์ตระดับตำนานของอังกฤษอีกครั้ง หลังบอร์ดบริหารเปิดโปรเจ็กต์ Continuation นำรถรุ่นดังในอดีตกลับมาผลิตใหม่ ประเดิมด้วย DB4 และ DB5
ก่อนที่ แอสตัน มาร์ติน ลากอนด้า จะย้ายทุกอย่างไปที่เกย์ดอน ในอดีตย่าน Newport Pagnell เคยมีตึกที่เป็นสำนักงานใหญ่และโรงงานที่เป็นฐานการผลิต โดยตั้งแต่ปี 1955-2007 ผลิตรถรวม 13,300 คัน แน่นอนว่าสปอร์ตคาร์ระดับตำนานทั้ง 2 รุ่นที่กล่าวมา ถูกสร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้
ปัจจุบัน “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” เป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจของ แอสตัน มาร์ติน ลากอนด้า มีภารกิจด้านหนึ่งเหมือนดีลเลอร์ทั่วไปคือ ขายรถใหม่ ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนรถใช้แล้ว พร้อมเป็นศูนย์ซ่อมบำรุง ดูแลรักษารถยนต์แอสตัน มาร์ติน ที่ดีที่สุดในโลก
ประมาณว่า รถเก่า รถคลาสสิก รุ่นไหนในโลกมีปัญหาทางเทคนิค หรืออยากเปลี่ยนแปลงอะไร ตกแต่งแบบไหน สามารถจบทุกเรื่อง ณ ที่แห่งนี้ ด้วยทีมที่ปรึกษาและทีมช่างมืออาชีพระดับเอตทัคคะ พร้อมความรู้และข้อมูลของรถทุกคันมีเก็บไว้หมด (ในการเยี่ยมชมห้ามถ่ายรูป เพราะรถบางคันถือเป็นความลับของลูกค้า)
แน่นอนว่าศักยภาพนี้ถูกตอกยํ้าด้วยการมอบหมายให้ “แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์” ผลิตรถยนต์คลาสสิกขึ้นมาใหม่ด้วยมือคนล้วนๆ
โปรเจ็กต์ Continuation ของแอสตัน มาร์ติน เริ่มจากการฟื้น DB4 GT Zagato ให้กลับมาโลดแล่นใหม่ หลังเคยผลิตจำนวนจำกัดแค่ 19 คันในช่วงปี 1960-1963
DB4 GT Zagato Continuation วางเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 4.7 ลิตร (รุ่นดั้งเดิม 6 สูบ 3.7 ลิตร) ประณีตตั้งแต่การขึ้นรูปตัวถัง งานสี วัสดุตกแต่งภายใน ใส่โรลบาร์ด้านท้าย โดยรถ 1 คันจะใช้เวลาผลิตรวม 4,500 ชม. และทำขึ้นมาใหม่ในจำนวนเท่าเดิมคือ 19 คัน เริ่มส่งมอบให้ลูกค้าคนแรกตั้งแต่ปลายปี 2562
อย่างไรก็ตาม คุณไม่อาจจะซื้อรถสปอร์ตระดับตำนานคันนี้เพียงคันเดียวได้ แต่เขาจะขายพ่วงกับรถใหม่ที่ผลิตจำนวนเท่ากัน คือ DBS Superleggera GT Zagato ด้วยราคาแพ็กคู่ 6 ล้านปอนด์ ( 240 ล้านบาท) นั่นหมายถึงเป็นการขายรถที่ราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้
ส่วนปีหน้าจะเนรมิต DB5 รถรุ่นดังของสายลับ เจมส์ บอนด์ (ที่หลายพระเอก,หลายภาคเคยใช้) ขึ้นมาขายใหม่เช่นกัน
แต่ทั้งหมดทั้งปวง ในโปรเจ็กต์ Continuation เป็นรถที่จดทะเบียนไม่ได้ อยากขับต้องวิ่งในสนามแข่ง หรือถนนส่วนตัวภายในหมู่บ้านหรือคฤหาสน์ของท่านเท่านั้น เว้นแต่ท่านจะตีมึนนำออกมาขับบนท้องถนนสาธารณะ ซึ่งจากการเปิดเผยอย่างไม่เป็นทางการของแอสตัน มาร์ติน เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหา เพราะลูกค้าบางคนเป็นถึงระดับเจ้าของประเทศ
“อย่างที่ทราบกันว่ารถคลาสสิกได้รับความนิยมมาก และราคาประมูลหรือการซื้อขายในตลาดมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรถหลายรุ่นของแอสตัน มาร์ติน ที่ผลิตจำนวนจำกัด ต่างเป็นที่ต้องการ ดังนั้นเราทุกคนที่นี่จึงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์กับการสร้าง new old cars ขึ้นมาใหม่ ที่ Newport Pagnell ซึ่งพนักงานบางคนที่ทำงานกับเราในปัจจุบัน ปู่ของเขาเคยเป็นหนึ่งในพนักงานของแอสตัน มาร์ติน ที่ผลิต DB4 มาก่อน” Paul Spires ประธาน แอสตัน มาร์ติน เวิร์กส์ กล่าว
...ถือเป็นการทำธุรกิจที่น่าชื่นชมของแบรนด์รถยนต์ที่ล้มลุกคลุกคลาน เปลี่ยนมือเจ้าของมาหลายสมัย (ปัจจุบันเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอังกฤษ) และผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นโปรเจ็กต์ใหม่ๆ และโปรดักต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจตามออกมาในอนาคต
สำหรับ “แอสตัน มาร์ติน” พยายามทำสิ่งที่ตนเองถนัดคือ ขายความพิเศษเฉพาะตัว บนความประณีต ใส่ใจในทุกรายละเอียดตามแบบฉบับรถแฮนด์เมด พร้อมความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ ส่วนขุมพลังหากพัฒนาเองต้องใช้ต้นทุนสูง ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ยุคใหม่ที่อาศัยการพึ่งพา-แลกเปลี่ยน ตลอดจนการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายแบบไม่ขัดเขิน เราจึงเห็นการนำเครื่องยนต์ วี 8 เทอร์โบคู่ ของเมอร์เซเดส เอเอ็มจี มาใช้ และในอนาคตที่ไม่ไกลจากนี้ ยังมีโอกาสเห็นระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากับรถระดับตำนานของอังกฤษแน่นอน
ปัจจุบันแอสตัน มาร์ติน ผลิตรถยนต์ที่โรงงานในเมืองเกย์ดอนตอนกลางของอังกฤษ และเพิ่งเปิดโรงงานใหม่ที่เวลส์อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นฐานผลิตแห่งที่ 3 ต่อจาก Newport Pagnell ส่วนยอดขายรวมทั่วโลกประมาณ 6,000 คันต่อปี แต่หลังการมาของ DBX (เริ่มส่งมอบไตรมาสที่ 2 ของปี 2563) ซีอีโอ “แอนดี้ พาลเมอร์” ตั้งความหวังว่าเอสยูวีรุ่นนี้จะขายได้ถึง 4,000-5,000 คันต่อปี พร้อมมุ่งกลุ่มเป้าหมายไปที่ลูกค้าผู้หญิงมากขึ้น
โดย : กรกิต กสิคุณ
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,538 วันที่ 9 - 11 มกราคม พ.ศ. 2563