ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค. เวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วยนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และคณะทำงานนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังอาคารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีนายประชา เหตระกูล บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมพูดคุยเพื่อรับฟังมุมมองในการขับเคลื่อนประเทศ 2 ประเด็น คือ
1.ประเด็นที่คนไทยและประเทศไทยของเราควรให้ความสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร
2.ปัจจัยที่จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความสำเร็จ โดยบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปอย่างเป็นกันเอง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินทางมาพบปะกันในวันนี้ (9 ก.ค.) ไม่ได้มาเรื่องการเมือง แต่มารับการบ้านจากท่าน และอยากมารับฟังว่าพวกท่านมีความคิดเห็น หรือมีสิ่งใดในกิจการของพวกท่านที่จะสามารถช่วยในการแก้ปัญหาของประเทศ
ส่วนเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ใครจะลาออก ก็ต้องปล่อยเขาไป แต่ถ้าถึงเวลาการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อไหร่ ตนปรับเอง แต่อย่าไปคิดกันเองว่าคนนั้นคนนี้จะได้ตำแหน่งอะไร ตอนนี้ตนคิดของตนอยู่ และเมื่อทุกอย่างพร้อม ก็จะปรับ
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าตอนนี้งานต่างๆ กำลังเดินหน้าอยู่ ต้องมีคนทำงาน แต่ถ้ามีใครลาออก ก็ต้องหาคนอื่นมาแทน มันมีกฎหมายมีระเบียบดูแลเรื่องนี้อยู่ และระหว่างที่รัฐมนตรีกระทรวงนั้นๆ ไม่อยู่ ก็มีรัฐมนตรีคนอื่นทำแทนได้ แต่โดยรวมแล้วทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้นายกฯเพียงคนเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เส้นทาง “4 กุมาร”ก่อนไขก๊อกพ้น พปชร.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือกลุ่ม 4 กุมาร ลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนยังไม่รู้ เขาไม่ได้บอกตน แต่เขายังเป็นรัฐมนตรีอยู่จนกว่าจะมีการปรับครม.
เมื่อถามว่าแล้วนายกฯยังจะใช้บริการรัฐมนตรีเหล่านี้ต่อไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ก็ต้องใช้สิ แต่เขาลาออกจากพรรค ถึงอย่างไรก็ต้องปรับมั้ง ต้องปรับตัวบุคคล เพราะมันเป็นวิถีทางการเมือง”
เมื่อถามว่ามีบางฝ่ายเป็นห่วงว่าปรับครม.แล้ว อาจไม่ดีขึ้น หรืออาจได้ตัวบุคคลที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะเริ่มมีการเสนอชื่อบางคนขึ้นมา ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การปรับครม.มีกลไกที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ทั้งกลไกการเมือง กลไกเรื่องประชาธิปไตย กลไกที่เกี่ยวกับส.ส.
ส่วนกรณีที่มีชื่อของบางคนว่าจะมาเป็นรัฐมนตรี แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น มันมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่ถูกวิจารณ์อาจไม่เหมาะสม แต่อีกส่วนหนึ่งคือ คนที่ออกมาวิจารณ์อย่างนั้น เขาเป็นคนที่อยากได้ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ถูกเสนอชื่อก็ได้ จึงไปถล่มคนอื่น
ทั้งนี้การตั้งครม.ก็ต้องมีสัดส่วนของพรรคการเมืองที่มาร่วมรัฐบาล ขณะที่พรรคต่างๆ มีส.ส.ที่มาจาการเลือกตั้งโดยประชาชน เมื่อถามว่านายกฯมีโควตากลางของตัวเอง นายกฯ ย้อนถามว่า ของตนมีกี่คน 9 คนหรือ แต่พรรคที่มาร่วมรัฐบาลมีสัดส่วนของเขาด้วย ตนต้องขอสัดส่วนให้กับพรรคต่างๆ เช่นกัน
เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เดินต่อไปจากนี้จะสร้างความมั่นใจต่อรัฐบาลได้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนเดิมอยู่ และต้องยึดเจตนารมย์ของตนและยุทธศาสตร์ของตน ประเทศเดินได้ด้วยยุทธศาสตร์ พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดและทุกคนที่ร่วมรัฐบาลต้องยึดยุทธศาสตร์ตรงนี้ ซึ่งตนไม่ยอมให้ใครมาล้มได้
“แต่ถ้ารัฐมนตรีคนเก่าไม่อยู่แล้ว ต้องหาคนใหม่ ถ้าใครยังอยู่ต่อ ก็ต้องดูว่าพรรคเขาจะว่าอย่างไร ผมสั่งไม่ได้ทั้งหมด เพราะมีเรื่องพรรคเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้การปรับครม.เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะผมไม่เคยพูดว่าจะไม่ปรับ แต่ต้องให้ประเทศเดินหน้าไปก่อน ต้องรอให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 เสร็จเรียบร้อยออกมาก่อน และการใช้งบประมาณในการดูแลและฟื้นฟูเศรษฐกิจเริ่มมีความคืบหน้า เป็นไปอย่างเรียบร้อยและชัดเจนก่อน จากนั้นจึงจะปรับครม.เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ติดขัด”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล มั่นใจว่ามีแรงดึงดูดมากเพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน นักธุรกิจ และต่างประเทศได้ ส่วนใครจะมาร่วมครม.บ้างนั้น อยู่ที่แต่ละพรรคดูความเหมาะสม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่นายกฯ บอกว่า ต้องรอให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ก่อน จึงจะปรับ ครม.นั้น
ตามไทม์ไลน์การจัดทำงบประมาณ ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ได้ผ่านวาระ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2563 อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแปรญัตติฯ ที่มีกรอบเวลา 30 วัน หลังจากนั้นจึงเสนอเข้าสู่สภาฯ วาระ 2-3 ซึ่งเมื่อผ่านสภาผู้แทนฯ แล้ว จะเป็นการพิจารณาของวุฒิสภา ทั้งนี้คาดว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2564 จะมีผลบังคับใช้ได้ภายในเดือนกันยายน 2563 และการปรับครม.ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน “กันยายน” เช่นเดียวกัน