อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมือง เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา กลุ่ม “4 กุมาร” ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผ่าน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้มีการปรับครม.
โดย 4 กุมาร ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
จะสังเกตได้ว่า 3 ใน 4 กุมาร นั้นเป็นถึงระดับรัฐมนตรีใน 3 กระทรวง ซึ่งกูรูการเมืองมองว่า เป็นการลาออกหลังจาก "ร่างพระราชบัญญุัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2564" หรือ พ.ร.บ.งบ 64 เข้าสภาฯแล้ว และผ่านการพิจารณวาระ 1 ของสภาผู้แทนราษฎร กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (กมธ. งบปี 2564) เพื่อปรับแก้ตัวเลข แปรญัติ เพื่อกลับเข้าพิจารณาในสภาวาระ 2-3 เพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติฯ บังคับใช้ต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯรับปรับครม. ต้องทำให้เร็ว ไม่เกินส.ค.นี้
สมคิด-4 กุมาร ยื่นลาออก (ประมวลภาพ+คลิป)
“นฤมล” มั่นใจ “ปรับครม.” นายกฯเลือกคนมีความรู้ความสามารถ
นายกฯ ดึง "ปรีดี ดาวฉาย" นั่ง รมว.คลัง “ไพรินทร์” คุมพลังงาน
นั่นคือสิ่งที่เบาใจได้ระดับหนึ่งว่างบประมาณจะไม่สะดุด แต่ก็น่าสนใจด้วยว่า 3 กระทรวง ที่รัฐมนตรี 3 คน ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งครั้งนี้ มีเม็ดเงินที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณตามที่ระบุใน ร่างพ.ร.บ.งบ 64 กี่บาท ก่อนมีการปรับแก้ตัวเลขของกมธ. และก่อนที่รัฐมนตรีคนต่อไปจะมารับไม้ต่อในการทำหน้าที่
เริ่มจาก “กระทรวงการคลัง” ที่นายอุตตม สาวนายน ลาออกจากรมว.คลัง มีงบประมาณระบุใน ร่างพ.ร.บ.งบฯ 64 ทั้งสิ้น 268,718.6 ล้านบาท แบ่งเป็น หน่วยงานต่างๆภายใต้กระทรวงการคลัง ดังนี้
- สำนักงานปลัดกระทรวง 1,591.5 ล้านบาท
- กรมธนารักษ์ 3,744.5 ล้านบาท
- กรมบัญชีกลาง 1,621.1 ล้านบาท
- กรมศุลกากร 3,978.3 ล้านบาท
- กรมสรรพสามิต 2,562 ล้านบาท
- กรมสรรพากร 10,130.8 ล้านบาท
- สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ 175.9 ล้านบาท
- สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ 243,299.4 ล้านบาท
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 1,015 ล้านบาท
- สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อบ้าน(องค์การมหาชน) 600.1 ล้านบาท
ต่อมา “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ลาออกจาก รมว.อุดมศึกษา ฯ มีงบประมาณปี 2564 ทั้งสิ้น 129,415 ล้านบาท แบ่งเป็น
- สำนักงานปลัดกระทรวง 8,545.4 ล้านบาท
- กรมวิทยาศาสตร์บริการ 413.8 ล้านบาท
- สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 804.9 ล้านบาท
- สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ 455.5 ล้านบาท
- สถาบันวิทยาลัยชุมชน 651.7 ล้านบาท
- สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ 502.3 ล้านบาท
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 230.8 ล้านบาท
- สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งขาติ 5,209.8 ล้านบาท
- สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 221.7 ล้านบาท
- ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) 119.3 ล้านบาท
- สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 418.7 ล้านบาท
- สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 518.2 ล้านบาท
- สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) 401.9 ล้านบาท
- สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) 256.8 ล้านบาท
- สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) 319.4 ล้านบาท
- สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) 2,371.7 ล้านบาท
- และกระจายอยู่ตามมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ
และสุดท้าย “กระทรวงพลังงาน” ที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ลาออกจากรมว.พลังงาน มีงบประมาณระบุใน ร่างพ.ร.บ.งบฯ 64 ทั้งสิ้น 2,390.7 ล้านบาท แบ่งเป็น
- สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน 610.2 ล้านบาท
- กรมเชื่อเพลิงธรรมชาติ 205 ล้านบาท
- กรมธุรกิจพลังงาน 260 ล้านบาท
- กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน 1,185.3 ล้านบาท
- สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน 130.2 ล้านบาท
แต่ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงพลังงาน จะพิจารณาเพียงงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร อาจจะไม่เห็นภาพ เพราะอย่าลืมว่า “อำนาจในการจัดสรรพิจารณาโครงการ” ที่รมว.พลังงานได้กำกับบมจ.และรัฐวิสาหกิจใหญ่สองแห่งพร้อมกับบริษัทในเครือ คือ ปตท.และ กฟผ. ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของทุกรัฐบาลในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ซึ่งหมายถึงการบริหารปากท้องประขาชนอีกทาง
รวมทั้งการจัดสรรโรงไฟฟ้าใหม่ แผนพีดีพี หรือแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า เพราะรมว.พลังงาน นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคณะกรรมการเกี่ยวกับธุรกิจพลังงานอีกหลายคณะ ที่มีเม็ดเงินมหาศาลอยู่ในแต่ละโครงการ