การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 17 ก.พ.64 ที่ผ่านมา มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ในประเด็นการจัดหาโควิด-19
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า นายกฯ เคยพูดว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้รับวัคซีน แต่จนถึงขณะนี้ หลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกกันไปแล้ว ขออย่าอ้างว่า ไทยมีผู้ติดเชื้อน้อย จึงไม่ต้องเร่งฉีดวัคซีน พร้อมตั้งคำถามว่า ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วจะกล้ามาประเทศไทยที่ยังไม่ฉีดวัคซีนได้อย่างไร แล้วเมื่อไหร่จะคืนชีวิตปกติ คืนการทำมาหากินปกติให้กับประชาชนได้
ก่อนเดือน ธ.ค. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องการจัดซื้อวัคซีน เพราะวันที่ 17 พ.ย. 2563 เพิ่งมีมติให้สั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากแอสตราเซเนกา จำนวน 26 ล้านโดส ซึ่งเป็นการสั่งซื้อทั้งที่บริษัทยังคิด ค้นวัคซีนไม่แล้วเสร็จ โดยสั่งซื้อไปแล้ว แต่จะได้วัคซีนในเดือน มิ.ย. 2564 และแผน กระจุกวัคซีนทำลายชาติก็เกิดขึ้น เมื่อ ศบค.มีมติให้ซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส กลายเป็น 61 ล้านโดส
จากนั้น นายวิโรจน์ เปลี่ยนเป้าหมายไปอภิปรายนายอนุทินว่า ที่ผ่านมา นายอนุทิน มีพฤติกรรมกลับกลอก เชื่อไม่ได้ ดังนั้น จึงอยากให้นายอนุทินชี้แจงให้ชัดเจนว่า มีแผน การฉีดวัคซีนอย่างไรบ้าง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไทยละเลย ไม่แสดงความจำนงขอรับวัคซีนจากโคแวกซ์ แถมเลื่อนตอบหนังสือจากโคแวกซ์หลายครั้ง แต่เลือกที่จะไปเสียเงินซื้อวัคซีน
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังโต้แย้งนายอนุทิน ที่ออกมาระบุว่า ไม่สั่งซื้อไฟเซอร์ เพราะมีหลายประเทศที่ออกมาฉีดให้กับประชาชนหลายคนแล้วเสียชีวิต จึงไม่อยากให้ประเทศ ไทยเป็นหนูทดลองยาด้วย
“ที่อ้างว่าไทยไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับวัคซีนจากโคแวกซ์ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะแคนาดากับจีน ซึ่งรํ่ารวยยังเข้าโครงการโคแวกซ์ อย่าอ้างว่า โคแวกซ์แพง เพราะถูกกว่าของซิโนแวคที่ไทยซื้อมา 2 ล้านโดส นายอนุทินโกหกประชาชนทำไม และทำไมต้องไปผูกขาดอยู่ที่แอสตราเซเนกา ผมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า อาการปากเบี้ยว และแพ้อย่างรุนแรงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ที่นายอนุทิน เอามาหลอกลวง ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่พบได้กับการฉีควัคซีนป้องกันโควิด และข่าวลือที่เกิดขึ้นเป็นข่าวปลอม”
เรื่องนี้จริงๆ นายอนุทิน ก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้ว่าคุณอนุทินจะมาดราม่าสร้างวาทกรรม ไม่ยอมให้คนไทยเป็นหนูทดลองเพราะอะไร เพราะทั่วโลกเขาฉีดไฟเซอร์กันมาเป็นล้านๆ โดสแล้ว อียูพึ่งสั่งซื้อเมื่อ พ.ย. 2563 จะมาดราม่าก็ตอบมาเลยว่า ซิโนแวค ซื้อมาได้อย่างไร
“ผมยืนยันเลยครับ ประเทศไทยไม่มีหนูลองยา มันมีแต่หนูดองยา ไม่ยอมหาวัคซีนให้กับประชาชน พฤติกรรมของนายอนุทิน คือเอาข่าวปลอมมาสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนไม่อยากฉีดวัคซีน และเหตุใดเราถึงเอาชีวิตคนไทย 60 กว่าล้านคน ไปผูกขาดกับบริษัท สยามไบโอไซม์ ทั้งที่พึ่งได้รับการถ่าย ทอดเทคโนโลยีการผลิตมาจากแอสตราเซเนกา และบริษัทไม่เคยผลิตวัคซีนอะไรมาก่อน ขนาดทำชุดตรวจสอบโควิด ก็ยังไม่ผ่านการรับรองจาก อย.” นายวิโรจน์ ระบุ
ระหว่างที่ นายวิโรจน์ อภิปราย มีการประท้วงจากทั้ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐเป็นระยะๆ ว่า พูดจาเสียดสีนาย วงวน พูดซํ้าซาก
ขณะที่ นายวิโรจน์ อภิปรายต่อว่า ขอให้นายกฯ และนายอนุทิน เปิดเผยสัญญาการจัดซื้อวัคซีนจากบริษัท แอสตราเซเนกา ว่า ราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งตนเคยเดินทางไปขอด้วยตนเองแล้ว แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยสัญญา โดยอ้างว่าหากเปิดเผยสัญญา อาจถูกคู่สัญญายกเลิกสัญญาได้ ซึ่งเป็นการโกหกทั้งสิ้น
พร้อมตั้งคำถามว่า ทั้งที่เป็นเงินภาษีประชาชน ทำไมจึงเปิดเผยไม่ได้ ประเทศอื่นก็มีการเปิดเผยสัญญา แอสตราเซเนกาก็ไม่เห็นจะยกเลิกสัญญากับประเทศเหล่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงความโปร่งใส ดังนั้น ข้ออ้างของนายอนุทิน จึงฟังไม่ขึ้น โกหกประชาชนซํ้าแล้วซํ้าเล่า จะให้นั่งเป็น รมว.สาธารณสุขต่อไปไม่ได้ เพราะพาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงอยู่ที่บริษัทเดียว ทั้งที่เป็นบริษัทเดียวที่ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน นำภาษีประชาชนไปใช้โดยที่ไม่บอกรายละเอียด และปล่อยให้ประชาชนเผชิญกับปัญหาล่าช้าในการจัดซื้อวัคซีน
“ประชาชนคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่ตอนนี้ยิ่งสิ้นหวัง เพราะคนอย่างนายอนุทิน และนายกฯ แค่ให้ผมเดิน เฉียดใกล้ หายใจร่วมกับสองคนนี้ ผมก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากแล้ว จึงไม่อาจไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไปได้” นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ นายอนุทิน ชี้แจงด้วยประโยคแรกว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ผมได้มาเจอกับบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ส.ส.ในสภา มากล่าวโกหกให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ท่ามกลางโรคระบาดที่ร้ายแรง แทนที่จะให้กำลังใจ กลับนำข้อมูลทางโซเชียล ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ในสภา คุณบอกว่า ผมน่ารังเกียจ แต่เดินเจอกันหน้าห้องนํ้า เข้ามากราบแทบอก และถ้าผมเอาแอลกฮอล์ฉีดตรงที่เนคไท คุณจะรู้สึกอย่างไร”
อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ยืนยันว่า วัคซีนจะมาถึงตามกำหนดการเดิม ทั้งนี้ บริษัท แอสตราเซเนกา เป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตวัคซีน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ไทยจะร่วมวิจัยและผลิตวัคซีน ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมแล้วจึงจะตกลงร่วมผลิตได้
ดังนั้น จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่า ไทยมีความพร้อมในการผลิตวัคซีน พร้อมยํ้าว่า ไม่ควรนำปัญหาการจัดซื้อวัคซีนมาเกี่ยวข้องกับสถาบัน