วันที่ 11 พ.ค.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงผลการดำเนินมาตรการที่ได้มีการสั่งการลงไปแล้วเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 1.เรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะใน พื้นที่คลองเตย ตนได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองและกระทบกับชีวิต ความปลอดภัยของพ่อแม่พี่น้องเป็นจานวนมาก ในเรื่องนี้ ในฐานะผอ.ศูนย์ศบค. กรุงเทพและ ปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานได้ระดมสรรพกาลังเข้าป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ โดยมียุทธวิธีสำคัญในการเอาชนะศึกครั้งนี้ ก็คือ การระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เรามีการตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 ราย ในชุมชนที่มีความเสี่ยง เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน ผลที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ติดเชื้อไปรักษาได้อย่างทันการณ์ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิด ไปกักตัว ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่อ จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบที่สุด สั้นที่สุด
ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านอาจจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผล มาจากการตรวจเชิงรุกแบบปูพรมของเรา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงนี้ อาจจะยังมีขึ้นมีลง อยู่บ้าง แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่า ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอด ผู้ติดเชื้อจากในพื้นที่จะค่อยๆ ลดลง ซึ่งล่าสุด ยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพเริ่มทรงตัว ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี แต่เราก็ยังไม่นิ่งนอนใจ จะดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงต่อไปให้มากและเร็วที่สุด
นายกฯ กล่าวอีกว่า ในขณะเดียวกัน ก็เร่งระดมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรสะเก็ดไฟ ซึ่งจนถึงวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยไปแล้วมากกว่า13,000 คน หรือเกือบ 30% ของ เป้าหมาย ที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 5 หมื่นคน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียง ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน โดยผลการดำเนินการจากคลัสเตอร์คลองเตย จะใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตอื่นๆ ของ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วย