ดัมพ์คอนโดหรูรอขาย 4พันหน่วยให้วีซ่า5ปีพ่วงอิลิทการ์ดดูดต่างชาติ

11 ธ.ค. 2563 | 00:14 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2563 | 07:31 น.

แห่เทขายคอนโดไฮเอ็นด์ หลังบิ๊กเนมเด้งรับนโยบายรัฐ ขายอีลิทการ์ด พ่วงห้องชุดแพง แลกวีซ่าอยู่ยาว 5 ปี สแกนพบสต๊อกคอนโดฯหรูใจกลางเมือง 10 ล้านอัพรอขาย 4,600 พันหน่วย ไม่นับอานิสงส์เมืองท่องเที่ยว เสนอรัฐลดเพดานราคาเหลือ 5 ล้าน หวังดูดลูกค้ากลุ่มใหญ่ชาวจีน

 

 

 

แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านการทยอยปลดล็อกการเข้ามาของชาวต่างชาติ หลายนโยบาย หวังเม็ดเงินจากกลุ่มกำลังซื้อสูงนำร่องฟื้นภาคการท่องเที่ยวและบริการก่อนพุ่งเป้ามายังภาคอสังหาริมทรัพย์ ผุดการเปิดตัวบัตร Elite Flexible One ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าไทย ซื้อคอนโดมิเนียมราคาหน่วยละ 10 ล้านบาทขึ้นไป หรือรวมกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยสิทธิประโยชน์ บัตรอีลิท การ์ด โดยห้ามจำนอง จำหน่ายโอนฯ ภายในระยะ 5 ปี

 

เป้า 100 หน่วย

                ทั้งนี้ตั้งเป้าเม็ดเงินที่เกิดขึ้นไม่ตํ่ากว่า 1 พันล้านบาท หรือ 100 หน่วย ดีเดย์ 1 มกราคม 2564-31 ธันวาคม 2565 เป็นระยะเวลา 2 ปีนั้น ซึ่งรัฐบาลคาดจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติ อีกนัยกลายเป็นความหวังใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหลายโครงการราคาแพงก่อสร้างแล้วเสร็จ รอการดูดซับอยู่จำนวนมากในทำเลต่างๆ หลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การซื้อ-ขายซึ่งเดิมเจาะลูกค้าต่างชาติชะลอตัวอย่างรุนแรง

 

98 ไวร์เลสปิดการขาย

                 สำหรับคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกทม. ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ โดย บมจ.แสนสิริ เคยทำประวัติศาสตร์ไว้แก่ตลาดอสังหาฯไทย ด้วยการปิดการขาย โครงการแฟล็กชิพ

ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ “98 Wireless (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส)” บนถนนวิทยุ มูลค่า 8.7 พันล้านบาท ด้วยราคาขายเฉลี่ยต่อตร.ม. ถึง 6 แสนบาท และสูงสุดเกือบ 9 แสนบาทต่อตร.ม. ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาท่ามกลางตลาดกำลังประสบกับสถานการณ์โควิด สะท้อนว่าตลาดคอนโดฯซูปเปอร์ลักชัวรีของไทย ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากของกลุ่มกำลังซื้อสูง

 

สโคปตรม.ละ 4.6 แสน

                ขณะ “สโคป หลังสวน” โดยผู้พัฒนา บริษัท สโคป จำกัด (หุ้นใหญ่ : บมจ.เอสซี แอสเสท) ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาบนที่ดินที่มีการซื้อ-ขาย ราคาต่อตร.ว.แพงที่สุดในประเทศไทย 3.1 ล้านบาท คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2565 ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 8.4 พันล้านบาท ราคาขาย 38-250 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 4.6 แสนบาท ต่อ ตร.ม.คาดจะเป็นอีกโครงการเนื้อหอม ที่ต่างชาติต้องการเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว

                รวมถึงโครงการหรูริมแม่นํ้าเจ้าพระยา “โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์” บนถนน เจริญกรุง โดยบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH เป็นอาคารสูง 73 ชั้น ห้องชุดขนาดใหญ่ ราคาขาย 3.5 แสนบาทต่อตร.ม.เป็นต้น

 

รอต่างชาติซื้อ

                อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากโควิด คอนโดมิเนียมหรู ปี2563 แทบไม่มีจำนวนหน่วยเปิดใหม่ เนื่องจาก สถานการณ์การระบาดโควิด-19 กำลังซื้อหลักต่างชาติหายไป แต่ สต็อกคงเหลือตรม.สูงกว่า 3แสนบาท ยังมีอยู่ในตลาด 6,518หน่วย ทั้งนี้บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลเทนซี่ จำกัด บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาอสังหา ริมทรัพย์ พบมีการกระจุกตัวอยู่บนทำเลสุขุมวิทตอนต้น มากถึงเกือบ 60% รองลงมาบริเวณรอบสวนลุมพินี ตามด้วยทำเลริมแม่นํ้าเจ้าพระยา

ดัมพ์คอนโดหรูรอขาย 4พันหน่วยให้วีซ่า5ปีพ่วงอิลิทการ์ดดูดต่างชาติ

 

 

 

โละ 4,000หน่วย

                ด้านนายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบัน โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ระดับราคาขาย 10 ล้านบาทต่อหน่วย ขึ้นไป ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 มีทั้งสิ้นประมาณ 16,033 หน่วย ขายไปแล้วประมาณ 11,355 หน่วย หรือ 70.8% เหลือขายทั้งหมด 4,678 หน่วย หรือ 29.2% ซึ่งส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่โซนสุขุมวิท สีลม สาทร เพลินจิต ชิดลม เป็นต้น

                ส่วนโครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ โดยมีราคาระดับกลาง-บน รองลงมา และอยู่ใจกลางเมืองซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จรอการระบายเช่น โครงการศุภาลัย โอเรียลทัล สุขุมวิท 39, พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ, เดอะ ริช แอท นานา, ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ เป็นต้น

 

“พราวกรุ๊ป”สน

                นอกจาก ทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมืองแล้ว หัวเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน แหล่งข่าวจากบริษัท พราวเรียลเอสเตทจำกัด (มหาชน) ยอมรับได้ให้ความสนใจไม่แพ้กันเนื่องจากมีคอนโดฯ หรูราคาเกิน 10 ล้านบาท เน้นขายต่างชาติ

                นายชนินทร์ วานิชวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทย ระบุว่าเห็นด้วยกับกรณีที่รัฐบาลเตรียมดึงชาวต่างชาติ เข้ามากระตุ้นภาคอสังหาฯไทยผ่านโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” เพราะถือเป็นการอุ้มตลาดภาพรวม และมีผลช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่แนวโน้มอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อีกนัยนับเป็นการช่วยเบาแบ่งภาระผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการ เน้นขายนักลงทุนและเจาะลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากยอมรับว่า ที่ผ่านมา เคยมีการติดต่อไปยังบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด เพื่อขอดีล แลกกับการให้ลูกค้าได้สิทธิพิเศษ ขณะพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะ ฟรีวีซ่าระยะยาวเช่นกัน แต่มีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลก เช่น ซื้อคอนโดฯ ราคา 7 ล้านบาท ต้องจ่ายเพิ่มราว 5 แสนบาท ซึ่งเหมือนเป็นการที่ผู้ประกอบการต้องควักกระเป๋าเพิ่ม

 

 

 

พ่วงคอนโด 5 ล้าน

                อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลพิจารณาใหม่ในแง่ราคาตั้งต้นโดยมีเงื่อนไขต้องซื้อ

อสังหาฯ รวมกันตั้งแต่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อแลกกับสิทธิ์วีซ่าอยู่ไทยระยะยาว 5 ปี เนื่องจากอาจเป็นกระตุ้นได้แค่เฉพาะตลาดคอนโดฯไฮเอนท์ ในใจกลางเมืองกรุงเทพฯเท่านั้น ขณะชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติกลุ่มใหญ่ของอสังหาฯไทย นิยมจ่ายราว 1 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 4-5 ล้านบาท

                “หากอสังหาฯปีหน้า มีมาตรการนี้มากระตุ้น คงช่วยตลาดได้มาก แต่อยากให้มีแพกเกจย่อยลงมาเช่น ซื้อ 5 ล้าน ได้วีซ่า 3 ปี เพื่อกระจายโปรดักส์ให้หลากหลายขึ้น เพราะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แม้คนมีเงินลงทุน แต่ก็คงไม่อยากซื้อแพงๆทิ้งไว้ หากปลดล็อกได้ ท่องเที่ยวก็ได้ประโยชน์อสังหาฯก็ถูกกระตุ้นไปในทิศทางที่ดี” 

               หน้า1ฉบับ3634