ข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจในเวลานี้ คือ การติดเชื้อโควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ออกมาทวีตบอกกล่าวแก่สาธารณชนด้วยตัวเองเมื่อวานนี้ (2 ต.ค.) ว่าทั้งเขาและนางเมลาเนีย ภริยา ได้รับการตรวจและผลออกมาแล้วว่าเป็นบวก
ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐนั้น หากประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ รองประธานาธิบดีสหรัฐซึ่งคือนายไมค์ เพนซ์ จะอยู่ในลำดับแรกที่เข้ารับตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี ส่วนลำดับที่ 2 คือประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งก็คือนางแนนซี เปโลซี จากพรรคเดโมแครต
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเปโลซีได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เมื่อวานนี้ (2 ต.ค.) ว่า สภาคองเกรสมีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้วในกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไร้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ โดยแผนดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะยังคงบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
"นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะการที่เข้าไปอยู่ในฝูงชนโดยไม่มีการใส่หน้ากากอนามัย ถือเป็นการเชิญชวนให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น" นางเปโลซีให้ความเห็นส่วนตัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ด่วน!ผลตรวจ ทรัมป์-ภรรยา ติดโควิด-19
ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วง! หลัง "ทรัมป์-ภรรยา" ติดเชื้อโควิด-19
ทั่วโลกติดโควิด-19 ทะลุ 34.7 ล้านราย ติดเชื้อเพิ่ม 292,651 ราย
ในส่วนของเธอเองนั้น เนื่องจากได้ทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งยังมีชื่อต้องสำรองตัวเป็นรักษาการประธานาธิบดีลำดับที่สองรองจากนายไมค์ เพนซ์ เธอจึงต้องไปเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นกัน โดยผลการตรวจของเธอจะมีการเปิดเผยในวันนี้
สื่อต่างประเทศระบุว่า ปธน.ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ได้เริ่มกระบวนการกักตัว และทำการรักษาในทันที สำนักข่าว NBC ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากทำเนียบขาวว่า ปธน.ทรัมป์ ซึ่งมีอายุ 74 ปี และมีน้ำหนักตัวมากเกินไป จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และตอนนี้เขาก็เริ่มแสดงอาการป่วยเล็กน้อยหลังติดเชื้อ
ขณะที่นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ (สมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา) และเป็นคู่แข่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย. นี้ได้ส่งคำอวยพรไปยังปธน.ทรัมป์ ขอให้เขาหายเป็นปกติในเร็ววัน
"ผมและภรรยาขอส่งความปรารถนาดี และอวยพรให้ท่านประธานาธิบดีทรัมป์และภรรยาหายเป็นปกติในเร็ววัน โดยเราจะสวดภาวนาสำหรับสุขภาพและความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดีและครอบครัว" ข้อความในทวิตเตอร์ของโจ ไบเดนระบุ
สื่อสหรัฐรายงานอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดนางคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐคู่กับนายโจ ไบเดน ที่ลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี เปิดเผยว่า นางแฮร์ริสก็เข้ารับการตรวจหาเชื้อเช่นกัน และผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่พบว่านางแฮร์ริสติดเชื้อแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นางแฮร์ริส มีกำหนดเข้าทำการดีเบต โต้วาทีแสดงวิสัยทัศน์กับนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 7 ต.ค.ที่จะถึงนี้
ด้านนายเดวิน โอมอลลีย์ โฆษกของนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี ซึ่งตามกฎหมายสหรัฐ เขาจะต้องขึ้นมารักษาการแทนประธานาธิบดีทรัมป์กรณีที่ประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ได้ทวีตข้อความระบุว่า “ผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่พบว่านายเพนซ์และภรรยาติดเชื้อแต่อย่างใด”
"ท่านรองประธานาธิบดีเพนซ์ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกวัน ตามที่เคยปฏิบัติมานานหลายเดือน และผลการตรวจในช่วงเช้าวันที่ 2 ต.ค.ไม่พบว่าท่านรองประธานาธิบดีเพนซ์และภรรยาติดเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด โดยท่านรองประธานาธิบดียังคงมีสุขภาพที่แข็งแรง และท่านได้อวยพรให้ท่านประธานาธิบดีทรัมป์หายป่วยจากโควิดโดยเร็ว" ข้อความในทวิตเตอร์ของนายโอมอลลีย์ระบุ
คนดังรายอื่น ๆ ในคณะรัฐมนตรีสหรัฐ คือนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง และนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยแล้วเช่นกัน และผลออกมาเป็นลบ
นางโมนิกา โครว์ลีย์ โฆษกของนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ระบุในทวิตเตอร์ว่า "ท่านรัฐมนตรีมนูชินได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกวันตามมาตรการที่ได้ปฏิบัติอย่างเป็นประจำ และผลการตรวจในเช้าววานนี้ (2 ต.ค.)ไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
เช่นเดียวกับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อด้วยตนเองว่า เขาและภรรยาได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วเมื่อวันที่ 2 ต.ค. และผลออกมาเป็นลบ ทั้งนี้เขาได้ผ่านการตรวจหาเชื้อถึง 4 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม เขากำลังทบทวนแผนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าอาจจะต้องพับแผนหรือไม่
เดิมนั้นนายปอมเปโอมีกำหนดการเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกในวันที่ 4-8 ต.ค. นี้โดยจะเป็นการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น มองโกเลีย และเกาหลีใต้
มีผู้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ของผู้นำระดับโลกว่า ผู้นำอังกฤษและบราซิลนั้น ติดเชื้อโควิด-19 เพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ในตอนแรก แต่หลังจากที่พวกเขาติดเชื้อโควิด ก็ได้กลับมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงน่าจับตามองว่า กรณีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมักจะพูดและแสดงให้เห็นว่า โควิด-19 ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งยังไม่ยอมสวมใส่หน้ากากป้องกันเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชน การติดเชื้อโควิด-19 เองในครั้งนี้ จะทำให้ทรัมป์เปลี่ยนแปลงท่าทีไปจากเดิมหรือไม่