หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดในรอบ 16 เดือนสะท้อนประชาชนไม่มั่นใจการเมืองในประเทศ คาดเศรษฐกิจทั้งปียังโตได้ 3.8-4 %
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลการสำรวจความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน2562พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากระดับ 80.6 มาอยู่ที่ระดับ 79.2 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 16 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก การส่งออกที่ยังติดลบในเดือนมีนาคม และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และแม้ว่าค่าเงินบาทไทยในเดือนเมษายนจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 31.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคค่าบาทไทยยังคงแข็งค่าทำให้รายได้จากการส่งออกในรูปเงินบาทลดลง ประกอบกับการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่ติดลบสินค้าเกษตรบางรายการยังทรงตัวสูง เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวหอมมะลิ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยกเว้นปาล์มน้ำมันที่ยังเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจภาคใต้อยู่ในช่วงขาลง จึงทำเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ไม่โดดเด่นสะท้อนได้จากตัวเลขเงินเฟ้อ 4 เดือนขยายตัว 0.86% แสดงให้เห็นกำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความไม่แน่ใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งดัชนีความเหมาะสมทางการเมืองในปัจจุบันปรับและในอนาคตตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง ซึ่งต่ำสุดในรอบ 58 เดือนนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 เห็นได้จากหลังมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ดังนั้นจึงทำให้การใช้จ่ายของภาคประชาชนชะลอตัวลงและคาดว่าจะต่อเนื่องไปถึงเดือนมิถุนายน ดังนั้น หอการค้าไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก จะขยายตัวได้ที่ 3.2-3.3 %
ทั้งนี้หอการค้าไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ที่ 3.8 - 4 % ภายใต้สมมุตฐาน คือการที่กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมสำเร็จซึ่งจะนำมาสู่การสรรหานายกรัฐมนตรี นโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งการลดหย่อนภาษี และการโอนเงินเข้าบัตรสวัสดิการแก่งรัฐ กว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ให้ขยายตัวได้ 0.3% และหากกกต. ประกาศผลการเลือกตั้งได้มนเดือนพฤษภาคมและการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปตามกรอบที่วางไว้ จะดึงให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเปลี่ยนไปในทิศทางขาขึ้นแต่หากยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง ก็อาจจะส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงและมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจไทยโตใกล้เคียง 3.5 %หรือมีโอกาสที่จะขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง