โควิด-19 ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนมกราคมหดตัวต่ำสุดรอบ 6 เดือน

18 ก.พ. 2564 | 04:50 น.

โควิด-19 ฉุดดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนมกราคมหดตัวต่ำสุดรอบ 6 เดือน แนะรัฐเร่งซื้อวัคซีน พร้อมแก้ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ช่วยส่งออก

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมกราคม 64 ว่า อยู่ที่ระดับ 83.5 ปรับตัวลดลงจากระดับ 85.8 ในเดือนธันวาคม 63 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยมีปัจจัยลบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 63 ที่ผ่านมา ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าระลอกแรกและขยายขอบเขตในหลายจังหวัด ส่งผลให้ภาครัฐออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโดยกำหนดพื้นที่ควบคุมตามความรุนแรงของสถานการณ์

รวมทั้งมีความเข้มงวดในมาตรการรักษาระยะห่าง การจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการในร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ ขณะที่ภาครัฐและเอกชนให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (work from home) มากขึ้น ส่วนสถานศึกษายังปิดเรียนชั่วคราวโดยให้เรียนผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์ในประเทศชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ในด้านการส่งออกผู้ประกอบการยังประสบปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอ ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ยังคงกดดันภาคการส่งออกของไทย
              อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าการระบาดระลอกแรก ในช่วงเดือนเมษายน 2563 ซึ่งลดลงมาอยู่ที่ระดับ 75.9 เนื่องจากภาคการผลิตไม่ได้หยุดชะงัก และยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ทั้งผู้ประกอบการ แรงงาน และประชาชนผ่านโครงการต่างๆ ยังช่วยพยุงเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบ  ทางเศรษฐกิจจากการระบาดของ COVID-19

ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม
              ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,441 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนมกราคม 64 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 73.8% ,อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 52.6% และราคาน้ำมัน 42.2%

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 40.8% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 37.4%
              สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 91.1 จากระดับ 92.7 ในเดือนธันวาคม 63 เนื่องจากผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่ที่ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีวัคซีน COVID-19 ฉีดให้กับประชาชน ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ตลอดจนการค้าและการลงทุนของไทยยังมีความไม่แน่นอน

นายสุพันธุ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ต้องการให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก  รวมถึงเร่งรัดการจัดซื้อและการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ของไทย ให้ได้ตามกำหนดเวลาและมีปริมาณเพียงพอเพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ พร้อมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติและประเทศคู่ค้า เกี่ยวกับมาตรการควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ของไทย

ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาคเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคา

ขอให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะมาตรการเสริมสภาพคล่อง จัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากปัจจุบันมีการปล่อยเงินกู้ซอฟต์โลนเพียง 1.22 แสนล้านบาท จากวงเงิน 5 แสนล้านบาท รวมทั้งแก้ไขกฎหมายและเงื่อนไขพ.ร.ก.ซอฟต์โลนที่เป็นอุปสรรคเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้มากขึ้น

ขอให้ภาครัฐพิจารณาการนำโครงการช็อปดีมีคืนกลับมาใช้ในปี 64 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี โดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 เป็น 50,000 บาท เพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 64

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :