นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการประชุมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการทั้งกลุ่มผู้ใช้ และกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก เพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยมีข้อสรุปร่วมกันเรื่องการแก้ปัญหาราคาที่กระทบต้นทุนของผู้ใช้เหล็กเป็นหลัก คือ กลุ่มก่อสร้างที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐ
ทั้งนี้ จะมีการพิจารณาทบทวนตัวเลขค่า K หรือดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างานของงานโครงการภาครัฐระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่าย และการกำหนดค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดทำ Business Matching ระหว่างผู้ผลิต และผู้ใช้เหล็กเพื่อวางแผนการใช้และการผลิตร่วมกัน และขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเหล็ก ตรึงราคาและจำหน่ายสินค้าเหล็กในราคาที่สอดคล้องต้นทุนที่แท้จริง โดยกรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์ต้นทุนการนำเข้าและราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด
สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กนั้น เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในแผนการพัฒนาตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ตามนโยบาย BCG Economy ของรัฐบาลตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green: BCG Economy)ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมาย 4 หน่วยงานหลัก ทั้ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เข้าไปดูแลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับหน่วยงานกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กเร่งพัฒนาประสิทธิภาพโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายกอบชัย กล่าวต่อไปอีกว่า ผู้ผลิตเหล็ก โดยสมาคมเหล็กฯ ยืนยันว่า จากสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กในประเทศไทยปัจจุบันมีการผลิตประมาณ 30% ของกำลังการผลิตที่สามารถผลิตได้ ปัญหาการขาดแคลนสินค้าเหล็กในประเทศไทยจะไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมจากกลุ่มผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าเหล็กในประเทศแทนเพื่อลดการนำเข้า สำหรับดัชนีอุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้าขั้นมูลฐานของเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมามีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 19.19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบสังกะสี เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณรีดร้อนและเหล็กเส้นกลม เป็นหลัก โดยได้รับอานิสงส์จากปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลง และเป็นช่วงที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ความต้องการใช้เหล็กของโลกจึงปรับตัวสูงขึ้นไปด้วยทำให้ราคาเหล็กโลกปรับตัวสูงขึ้น ตามกลไกของตลาดโลก
"การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ดูแลปัญหาราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อลดบรรเทาและผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบการอุตสาหกรรมที่มีเหล็กเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อไม่ให้กระทบทั้งอุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจ้างแรงงาน"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :