ข่าวดี “อินเดีย” ประกาศลดภาษีนําเขาน้ำมันปาล์ม 3 เดือน

03 ก.ค. 2564 | 05:20 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ค. 2564 | 12:20 น.

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประทศ ณ เมืองมุมไบ ประกาศข่าวดี  “อินเดีย” ประกาศลดภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มต่ออีก 3  เดือน ถึง 30 ก.ย.นี้ ส่งสัญญาณ ผู้ออกน้ำมันปาล์มไทย ฉวยจังหวะดันยอดขายโตพุ่ง

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประทศ ณ เมืองมุมไบ  กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์  รายงานว่า กรมศุลกากรของอินเดียประกาศลดอากรขาเขา(basic customs duty) ของน้ำมันปาลมดิบจาก 15% เหลือ 10%  ซึ่งเมื่อรวมกับภาษีอื่นๆ แล้วอาทิ  เงินสงเคราะห์ (Cess) จะทําให้น้ำมันปาลมดิบมีภาษีรวม 30.25% ลดลงจากเดิมซึ่ง อยู่ที่ 35.75% ในขณะเดียวกัน ไดประกาศลดอากรขาเขาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (RBD Palm Oil) จาก 45% เหลือ 37.5% ด้วย โดยเมื่อรวมมีภาษีอื่นๆ แล้ว จะมีอัตราอยู่ที่ 41.25% ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 30 กันยายน 2564

 

สมาคมน้ำมันพืช (Indian Vegetable Oil Producers' Association) คาดการณ์ว่าในชวง 3 เดือนจากนี้อินเดียอาจนำเข้าน้ำมันปาล์มประมาณ 2.55 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ  5 แสนตัน เพื่อตอบสนองความตองการน้ำมันปาล์มที่มีมากขึ้นของภาคอุตสาหกรรมผลิตอาหาร สอดคล้องกับความเห็นของสมาคมโรงงานกลั่นน้ำมันพืช (Solvent Extractors Association of India) ที่มองวาการลดอากรขาเขานี้เพื่อลดตนทุนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารในอินเดีย รวมถึงค่าครองชีพของคนยากจนที่ยังคงใช้น้ำมันปาลมในการประกอบอาหารด้วย ซึ่งน้ำมันปาลมและน้ำมันถั่วเหลืองในอินเดียมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ คาดว่าการลดอากรขาเขาดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลืองในอินเดียลดลงเล็กน้อย แต่จะไม่ส่งผล กระทบต่อชาวสวนปาล์ม เนื่องจากฤดูเก็บเกี่ยวของอินเดียจะเริ่มตนอีกครั้งในเดือนตุลาคม ซึ่งอากรขาเขาจะกลับมาเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตราเดิมเพื่อให้น้ำมันปาล์มภายในประเทศมีความได้เปรียบน้ำมันปาล์มนำเข้า

 

“อินเดีย” เป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันปาล์มมากที่สุดในโลก โดยในปี 2563 ไทยเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันปาลมดิบของอินเดียในอันดับที่ 4 ตามหลังอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ สิงค์โปร ด้วยมูลค่าการนำเข้าจากไทย 111.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง  24.73%

 

สำหรับน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ แม้ว่าไทยจะไม่ใช่แหล่งนำเข้าหลักของอินเดีย แต่การนำเข้าจากไทยในปี 2563 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ถึง 142.79% และสำหรับในปี 2564 พบวาใน 5 เดือนแรก ไทยสงออกน้ำมันปาล์มไปยังอินเดียเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งนี้ คาดว่าการลดอากรขาเขาน้ำมันปาลมในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อการส่งออกของอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ครองตลาดอยู่

 

อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานี้นับวาเป็นโอกาสของไทยที่จะผลักดันตลาดให้ขยายตัวเช่นกัน โดยเฉพาะการส่งออกไปจากท่าเรือในภาคใต้ฝั่งตะวันตก  อาทิ ท่าเรือกันตัง เพื่อสงไปยังท่าเรือในตะวันออกของอินเดีย อาทิ เชนไนกฤษณะปัตนัม และ กัลกัตต้า ซึ่งจะมีต้นทุนการขนสงที่ต่ำกว่าท่าเรือในฝั่งตะวันตกของอินเดียและกำลังมีการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมใหม่ด้วย

 

นอกจากนี้มีข้อสังเกตว่าอินโดนีเซียและมาเลเซียมักมีการเจรจาแลกกันซื้อ (Counter-trade Deal) สินค้าเกษตรกับอินเดียเป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2563 มาเลเซียมีการตกลงขายน้ำมันปาล์มดิบให้กับอินเดีย จำนวน  2 แสนตัน แลกกับการที่มาเลเซียลงนามตกลงซื้อข้าว (Non-Basmati) จากอินเดียอย่างน้อย 1 แสนตัน ซึ่งกลยุทธการค้าต่างตอบแทนในลักษณะนี้ได้รับการตอบรับจากอินเดีย และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดได้อีกแนวทางหนึ่ง