ดร.จรรยา มณีโชติ สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก สาระน่ารู้ เรื่อง "ไดควอต" (Diquat) ตอนที่ 2 เจาะประวัติไดควอต ถูกค้นพบครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2498 โดยบริษัท ICI (Imperial Industries Laboratories) ประเทศอังกฤษ (ซึ่งปัจจุบัน คือ บริษัท ซินเจนทา) และถูกวางจำหน่ายเป็นสารกำจัดวัชพืช มานานกว่า 50 ปีด้วยคุณสมบัติที่กำจัดวัชพืชประเภทใบกว้างได้ดีกว่าใบแคบ จึงถูกใช้กำจัดวัชพืชในข้าวสาลี ข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เล่ย์
ต่อมาได้ นำไปใช้กำจัดวัชพืชน้ำ และใช้พ่นก่อนเก็บเกี่ยวพืชหลายชนิด เช่น มันฝรั่ง ทานตะวัน ฝ้าย คาโนล่า และพืชตระกูลถั่ว ในทวีปยุโรปและอเมริกา กลไกออกฤทธิ์ในพืช (Mode of actIon) ไดควอต มีโครงสร้างทางเคมีจัดอยู่ในกลุ่ม Bipyridiliums
เช่นเดียวกับ “พาราควอต” มีกลไกออกฤทธิ์จัดอยู่ในกลุ่ม D คือ ยับยั้งระบบการสังเคราะห์แสงที่ 1 ทำให้พืชตายอย่างรวดเร็วภายใน 1 วัน เกิดจาก "ไดควอต" ได้รับอีเล็คตรอนจากกระบวนการสังเคราะห์แสง และทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็น superoxide ion ที่เป็นพิษต่อเซลเมมเบรน ทำให้เซลแตกและพืชแห้งตายได้อย่างรวดเร็ว
การเข้าสู่ต้นพืชและการเคลื่อนย้ายไดควอตเข้าสู่ต้นพืชทางใบเท่านั้น เมื่อตกลงสู่ดินจะถูกอนุภาคดินดูดยึดไว้อย่างเหนียวแน่น จึงไม่เข้าสู่พืชทางราก มีระยะปลอดฝนหลังพ่น 1 ชั่วโมง และเคลื่อนย้ายในต้นพืชได้เล็กน้อย ความเป็นพิษของ "ไดควอต"
“WHO” จัดไดควอต อยู่ในกลุ่มสารที่มีความเป็นพิษปานกลาง (Moderate toxicity) ระคายเคืองต่อตา ผิวหนัง และทางเดินหายใจอาจทำให้เกิดต้อกระจก (cataract) อาจทำให้เลือดกำเดาไหล เยื่อจมูกอักเสบ และเล็บมีอาการผิดปกติได้ มีค่าพิษเฉียบพลัน (Oral Acute Toxicity) LD50 (หน่วยเป็น มก./กก.) ของไดควอต (technical grade) ต่างกันตามชนิดสัตว์ทดลอง
สำหรับปริมาณที่คนกินไดควอตเข้าไปแล้วเสียชีวิต (Acute Lethal Dose) ที่ระบุไว้โดย WHO อยู่ที่ประมาณ 2 เท่าของพาราควอต
ไดควอต 6-12 กรัม
พาราควอต 3-5 กรัม
สาเหตุหลักที่ทำให้ไดควอตถูกแบนในยุโรป เมื่อปี 2561 คือ European Food Safey Agency หรือ EFSA ได้ประเมินความเสี่ยงจากการใช้ไดควอต พบว่า ถึงแม้จะใส่ชุดอุปกรณ์ป้องกันขณะพ่น ไดควอตสามารถเข้าสู่ร่างกายของผู้พ่น ในปริมาณสูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัย AOEL
งานวิจัยล่าสุดของ Yastrub และคณะ ในปี 2563 พบว่า ในขณะพ่น ไดควอตสามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายผู้พ่นเป็นปริมาณสูงถึง 0.0154 มก./ กก. หรือ สูงเป็น 77 เท่าของค่า AOEL
AOEL หรือ Acceptable Operator Exposure Level หมายถึง ปริมาณสูงสุดของสารออกฤทธิ์ ที่ไม่ทำให้เกิด ผลเสียต่อสุขภาพของผู้พ่น
(ค่า AOEL ของไดควอต เท่ากับ 0.0002 มก. ต่อ น้ำหนักตัว 1 กก.)
นอกจากผู้พ่นแล้ว ยังพบว่าผู้คนในละแวกใกล้เคียง ยังมีโอกาสได้รับไดควอตเข้าสู่ร่างกายจนเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัย AOEL ได้เช่นกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ สิ่งปนเปื้อน (Impurities) ที่พบอยู่ในผลิตภัณฑ์ไดควอต ที่เป็นพิษต่อคน 3 ชนิด คือ
1. Ethylene dibromide ( EDB) ซึ่งอาจเป็นสารก่อมะเร็งในคน (Propable human carcinogen)
2. Total terpyridines ซึ่งมีความเป็นพิษตอคนสูงมาก
3. 2',2 bipyridyl ซึ่งเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ (Mutagenic, tetragenic acivity)
ดังนั้น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กำหนดค่าสูงสุดของสิ่งปนเปื้อนทั้ง 3 ชนิดในไดควอตไว้ ดังนี้
นอกจากนั้น ยังเริ่มมีรายงานวิจัย พบว่า ไดควอต ทำให้มีโอกาสเกิดโรคพาร์กินสันในคน มากกว่าพาราควอต
ถอดบทเรียน “ไดควอต” จากพาราควอต
ถึงแม้ว่า EU จะแบนทั้ง "พาราควอต" และ "ไดควอต" แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังใช้สารทั้ง 2 ชนิด อยู่ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกประเทศที่มีการใช้ไดควอต จะมีการประเมินความเสี่ยง จากการใช้งานจริงในแต่ละประเทศ
จะเห็นได้ว่า เมื่อ EFSA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านประเมินความปลอดภัยของสารเคมีใน EU มีหลักฐานงานวิจัยที่น่าเชื่อถือว่า “ ไดควอต” เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และคนในบริเวณใกล้เคียง EU จึงประกาศแบนไดควอต และให้ระยะเวลาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประมาณ 2 ปีเพื่อเตรียมตัวเลิกใช้ไดควอตทั่วยุโรปในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
แต่ประเทศที่ยังคงอนุญาตให้ใช้ไดควอต เพราะผลการประเมินความเสี่ยงยังอยู่ในเกณฑ์ความปลอดภัยที่ยอมรับได้ดังนั้น หากมีการอนุญาตให้ใช้ไดควอตในประเทศไทย สิ่งที่ภาครัฐควรให้ความสนใจ 3 ประเด็น คือ
1. เรื่องการกำหนดค่ามาตรฐานของสิ่งปนเปื้อน 3 ชนิด ในผลิตภัณฑ์ไดควอต ให้สอดคล้องกับตามมาตรฐานของ FAO
2. ควรกำหนดข้อบังคับให้เกษตรกรใช้อุปกรณ์ป้องกันสารเคมีที่เหมาะสมในขณะใช้ไดควอต เพื่อป้องกันความเสี่ยงได้รับพิษ เช่นเดียวกับที่พบในยุโรป
3. หลังการจำหน่ายไดควอตไปแล้ว ควรมีงานวิจัยเพื่อประเมินความเสี่ยง ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้ต่ออายุทะเบียน
ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การใช้ “ไดควอต” อย่างปลอดภัยและยั่งยืนในอนาคตรู้เขารู้เราเรื่องสารกำจัดวัชพืช และหวังว่าในอนาคต จะไม่ซ้ำรอย "พาราควอต" ที่โดนแบนไปล่าสุด