นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ได้รับรายงานจาก คุณศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด เช้าวันที่ 3 ตุลาคม 2564 จะดำเนินการส่งมอบข้าวขาว100% ขึ้นเรือใหญ่ ปลายทางประเทศอิรักปริมาณ 44,000 ตัน (ตามคำสั่งซื้อชุดที่ 2) จากที่ก่อนหน้านี้ประเทศอิรักเคยแบนการรับซื้อข้าวไทยนานถึง 7 ปี ในอดีตเมื่อปี 2555 ประเทศอิรักเคยนำเข้าข้าวจากประเทศไทยสูงถึง 8.4 แสนตัน
“ล่าสุดเช้าวันที่ 3 ตุลาคม 2564 บริษัทธนสรรไรซ์ดำเนินการส่งมอบข้าวให้กับประเทศอิรักอีกเป็นชุดที่ 2 ปริมาณ 44,000 ตัน โดยก่อนหน้านี้มีคำสั่งซื้อชุดแรกปริมาณ 44,000 ตัน ได้ส่งมอบไปแล้วเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ยอดส่งออก 2 ชุด รวม 88,000 ตัน ถือว่าเป็นการช่วยระบายข้าวออกสู่ต่างประเทศ เป็นการเรียกตลาดที่เคยเป็นลูกค้าเก่ากลับคืนมา ก่อให้เกิดผลดีต่อภาพรวมในการเพิ่มยอดส่งออกข้าวของไทย”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ลำที่ 3 อีก จำนวน 44,000ตัน จะตามมาติดๆ กลางเดือนตุลาคม รวมทั้งหมด 3 ล็อตนี้ รวม 132,000 ตัน คิดเป็นเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ดังนั้น ขอให้ “ธนสรรไรซ์” รักษาคุณภาพเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และหวังว่าจะได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องอีกเรื่อยๆครับ “ นับว่าป็นข่าวดีมากๆสำหรับการส่งออกข้าวของประเทศไทย
นาย ศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด กล่าวว่า กำลังเจรจาเพิ่มหากสำเร็จจะเป็นลำที่4 ซึ่งก็มีโอกาสปลายปีนี้ส่งท้ายอีกสักหนึ่ง เป็น “ข้าวหอมมะลิ” มีโอกาสลุ้น ในขณะนี้ทางบริษัทเทรดเดอร์ที่รับข้าวกำลังออกใบรับรองข้าว100% ของไทยได้มาตรฐานด้วย ก็ตอนนี้กำลังจะพยายามที่จะทำ “ข้าวหอมมะลิ” ให้ได้อีกสักตัว เพื่อให้ข้าวไทยเป็นความต้องการของประเทศอิรักให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะล็อตแรกที่ไปกว่าจะนำเรือเข้าท่าเรือได้จะต้องส่งทีมงานเข้ามาตรวจสอบข้าว ว่าคุณภาพได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้าเคยโดนกล่าวหามาก่อน 7 ปีแล้ว ก็เลยต้องมาตรวจสอบล่วงหน้า ต้องลอยเรืออยู่กลางทะเลเป็นสัปดาห์ จนแน่ใจว่าข้าว 100% ของไทยได้มาตรฐาน และตอนนี้ทางเทรดเดอร์ได้นำข้าวไทยออกจากท่าเรือทยอยไปขายแล้ว”
นาย ศุภชัย กล่าวว่า มีความรู้สึกดีใจแทนประเทศไทย เป็นสิ่งที่ดี แล้วต่อไปในแต่ละปีจะนำเงินเข้าประเทศหลายพันล้านบาท ถ้ามีการซื้อต่อเนื่อง เพราะแค่ส่ง 3 ลำ ก็ได้เงินเข้าประเทศมาแล้วกว่า 1,800 ล้านบาท แล้วถ้ามีลำ4 ก็ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท หากในปีหน้าแล้วถ้าซื้อใช้ทั้งปี ก็หลายพันล้าน