เข้ามารับไม้ต่อจากนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ที่ลาออกจากปัญหาสุขภาพเมื่อช่วงเดือนกันยายน ล่าสุดอธิบดีใหม่ป้ายแดงอย่างนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ เข้ามาสานต่อเพื่อให้แผนการผลักดันการส่งออกไทยในช่วงปลายปีนี้ยังเดินหน้าและขยายตัวตามเป้าของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตั้งไว้ 4% และทั้งปีอาจจะขยายตัวมากกว่าที่ตั้งไว้ ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศไว้ทุกครั้งที่นั่งหัวโต๊ะแถลงตัวเลขส่งออกประจำเดือน
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงการผลักดันการส่งออกช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ตัวเลข 8 เดือนแรกส่งออกไทยขยายตัว 15.25%) กรมได้เตรียมกิจกรรมผลักดันการส่งออก เน้นการเจรจาการค้าผ่านออนไลน์ โดยเฉพาะตลาดเอเชียใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญที่กรมให้ความสนใจมาโดยตลอด หากมองเป็นรายประเทศในกลุ่มนี้ อินเดียถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้มีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน
ดังนั้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้กรมได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ 4 แห่งในเอเชียใต้ ได้แก่ เมืองมุมไบ,กรุงนิวเดลี และเมืองเจนไน ของอินเดีย และ กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ปรับตัวรับสถานการณ์โควิด-19 จัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบออนไลน์ (OBM) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจสู่ตลาดเอเชียใต้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางข้อจำกัดในการเดินทางในยุคที่ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้สาเหตุที่กรมเน้นรุกตลาดเอเชียใต้ เน้นอินเดียทางตะวันตกทั้งเมืองหลักและเมืองรองใน 6 รัฐ ไม่ว่าจะเป็น รัฐมหาราษฏระ คุชราต มัธยประเทศ กรณาฏกะ เกรละ และกัว จากมองว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการรุกตลาดเมืองรองมากขึ้นด้วย สินค้าที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ อาหารพร้อมรับประทาน อาหารมังสวิรัติ ขนมขบเคี้ยว น้ำผลไม้ ผลไม้อบกรอบ ครีมทากันยุง สบู่และครีมอาบน้ำ น้ำหอมและโลชั่น รองเท้าแตะ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และสินค้าที่มีโอกาสในการเจาะตลาดเอเชียใต้ เช่น เครื่องสำอาง สุขภาพและความงาม อาหารแปรรูปอาหารพร้อมรับประทาน ของใช้ภายในบ้าน อาหารและผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เคมีภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นรูปแบบการเจรจาที่ให้ผู้ประกอบการไทยส่งสินค้าตัวอย่างให้ผู้นำเข้าได้เห็นและสัมผัสสินค้าจริง ทั้งนี้กิจกรรมผ่านออนไลน์ของกรมที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดคำสั่งซื้อภายใน 1 ปีได้สูงถึง 650 ล้านบาท
“ส่วนในปีงบประมาณ 2565 ที่จะเริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ กรมจะยังคงรุกตลาดเอเชียใต้อย่างต่อเนื่องเพราะนอกเหนือจากกิจกรรม OBM ในกลุ่มสินค้าต่าง ๆ แล้ว กรมยังเตรียมแผนดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงสินค้า Top Thai Brands ณ เมืองปูเน่ อินเดีย และกรุงธากา บังกลาเทศ กิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าไทยผ่านช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำรายใหม่ในอินเดีย เช่น Namdhari จะเห็นได้ว่าไทยส่งออกไปตลาดเอเชียใต้ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2564 มีมูลค่า 7,312 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เฉพาะตลาดอินเดียอย่างเดียวไทยส่งออกไปมีมูลค่า 5,168 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 55% ถือว่าเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงดังนั้นกรมจะรุกตลาดนี้อย่างเข้มข้น”
นายภูสิต กล่าวอีกว่า ช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกของไทยหลายรายการยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันไม่ว่าจะเป็นเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป รวมไปถึงการเร่งฉีดวัคซีนทั่วโลก ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า ที่สำคัญค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกของไทยที่เน้นการแข่งขันด้านราคาในปีนี้