นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในปี 64 สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น โดยสมาคมเหล็กโลก หรือ World steel Association คาดการณ์ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป (Finished steel products) ของโลกมีแนวโน้มขยายตัว 5.8% ปริมาณอยู่ที่ 1,874 ล้านตัน โดยกลุ่มสหภาพยุโรป (27 ประเทศและสหราชอาณาจักร) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัวอยู่ที่ 10.2% กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 3.4%
และภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 4.7% และจีน คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กสำเร็จรูปขยายตัว 3.0% เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 (covid-19) ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นหลังจากที่สามารถมีการผลิตวัคซีนในการป้องกันได้ เป็นผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้ดียิ่งขึ้น ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมมีแนวโน้มและทิศทางที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ สถานการณ์ราคาสินค้าเหล็กในภูมิภาคเอเซียหลายประเภทมีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อยในช่วงเดือนกันยายน 64 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า เช่น สินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นราคา 980 USD/ตัน ปรับลดลง 0.7% เหล็กลวดราคา 831 USD/ตัน ปรับลดลง 2.8% จากข้อมูลดังกล่าวคาดว่าสถาณการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกน่าจะเลยจุดสูงสุดมาแล้ว และน่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติในไม่ช้านี้ แต่คาดว่าจะไม่ต่ำลงมากเหมือนก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากประเทศจีนมีการควบคุมการผลิต และมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
สำหรับประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 มีปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็ก 13.0 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปี 63 โดยคาดว่าจะมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กทั้งปีราว 18.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% จากปี 63 โดยผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนเพิ่มขึ้น 19% และผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวเพิ่มขึ้น 10% แต่ทั้งนี้จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยจะพบว่าปริมาณนำเข้ายังคงมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าการผลิตในประเทศ
ดังนั้นจากสถานการณ์ที่ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาด Covid -19 ในปี 63 และกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ การการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายใน และการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้า และหันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้เร็วขึ้นได้
มาตรการที่สำคัญของภาครัฐที่สนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศคือนโยบาย Made in Thailand โดยมีข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2564 มีข้อมูลการตรวจสอบตามรายชื่อการรับงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกรมบัญชีกลางพบว่ามีผู้ที่ลงทะเบียน Made in Thailand ถึง 841 กิจการที่ได้รับงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
"กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. หวังว่าภาครัฐจะพิจารณาการขยายขอบข่ายของมาตรการให้สามารถครอบคลุมงานโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ Public Private Partnership (PPP) จะสามารถทำให้มีผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าในประเทศได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐอีกเป็นจำนวนมาก"
นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 64 โดยมีอำนาจหน้าที่ ศึกษา เสนอแนะ แนวทางในการแก้ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน และการใช้อัตรากำลังการผลิตต่ำ แนวทางปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็ก แผนงาน/โครงการ พัฒนา และขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมเหล็กมีความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งได้มีการประชุมครั้งที่ 1 แล้วเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564
กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศฟื้นตัวและสามารถใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 34% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับการใช้กำลังการผลิตเหล็กเฉลี่ยของโลกในปี 2563 ที่ 74% รวมถึงสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กในปัจจุบันไปสู่ยุคอุตสาหกรรมเหล็ก 4.0 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างยั่งยืน