การแพร่ระบาดโควิด 19 ทำให้การทำ "ธุรกรรมออนไลน์" เพิ่มสูงขึ้น ทั้งทำธุรกรรมผ่านเครื่องรับบัตร (EDC) และให้บริการชำระผ่าน QR code เป็นช่องทางให้มิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ จำนวนมาก
ล่าสุดคือ “ถูกตัดเงินจากบัญชีธนาคาร” กรณีเงินหายจากบัญชีมีหลายรูปแบบ เช่น จาก App ซื้อของออนไลน์ โฆษณา Facebook เครื่องรับบัตรหรือเครื่องรูดบัตร EDC (Electronic Data Capture) และการให้บริการชำระผ่าน QR code
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สังคมกังวลเเละตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในระบบออนไลน์ เพราะเมื่อปริมาณการเติบโตของกลุ่มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เกิดเหตุการณ์จะเกิดซ้ำอีกหรือไม่ ???
อีมันนี e-Money เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการชำระเงินที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์การชำระเงินของคนยุคปัจจุบัน
ที่ต้องการความง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และเข้าถึงประชาชนทุกระดับ จึงงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ช่วยให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ "สังคมไร้เงินสด" ได้
จากข้อมูลเว็บไซต์ "ธนาคารแห่งประเทศไทย" (ธปท.)พบว่า จำนวนบัญชีอีมันนีในเดือนธันวาคม 2563 เพิ่มขึ้น 109.4 ล้าน บัญชี จำนวนผู้ให้บริการ 36 ราย จำนวนจุดชำระเงิน 3.5 ล้านจุด ปริมาณการใช้อีมันนีเติบโตขึ้นกว่า 74 เท่า นับตั้งแต่ ธันวาคม 2549-ธันวาคม 2563
ขณะที่ ข้อมูลช่วงเดือนสิงหาคม 2564 มีร้านค้าติดตั้งเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) ทั้งหมด 9 แสนเครื่อง และร้านค้าที่รับชำระผ่าน QR code จำนวน 7.2 ล้านราย รวมร้านค้าทั้งหมดราว 8.1 ล้านราย
เพื่อป้องกันความเสี่ยงในระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ออกนโยบายรู้จักและบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า สำหรับการรับชำระเงินด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ ( Know Your Merchant (KYM)
เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจชำระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ เพราะที่ผ่านมามาตรฐานการติดตามความเสี่ยงร้านค้า การประเมินความเสี่ยง เเตกต่างกันเเละไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดการ "โกงชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์" เเละการฟอกเงิน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565
ผู้ประกอบธุรกิจ
ร้านค้า 3 ระดับความเสี่ยง
แนวปฏิบัติในการรู้จักและบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า
ครอบคลุมทั้ง การรู้จักร้านค้า การติดตามตรวจสอบและยุติความสัมพันธ์ ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงร้านค้า โดยร้านค้าปฏิบัติตามแนวปฏิบัติขั้นต่ำ