วันนี้ 9 พฤศจิกายน 64 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ว่า ได้เสนอเรื่องกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีความประสงค์จัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้บริการแก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งผลของการประชุมในวันนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน สำหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการเองได้ ตามมาตรา 13(2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
โดยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมสามารถจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุข เพื่อให้บริการแก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบ ข้อบังคับ และแผนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ โดยไม่ให้มีผลกระทบต่องบประมาณ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564
ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินการรัฐวิสาหกิจจะใช้งบประมาณปีละ 464 ล้านบาท เพื่อจัดหาวัคซีนไว้ให้บริการแก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจกว่า 261,464 คน ทั้งนี้ สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ที่กำหนดให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นวาระแห่งชาติ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้การฉีดวัคซีน เป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสม ทั่วถึง ลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต รวมทั้งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาและยุติการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้โดยเร็ว