นายอธิราษฎร์ ดำดี อดีต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผมรอราคาปาล์ม ที่จะแตะขึ้น 13 บาท/กก. ยังมีโอกาสเนื่องจากผลผลิตปาล์มช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ยังมีผลน้อย อีก 1 เดือน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็น พอปาล์มมีน้อย เชื่อว่าพ่อค้า มีการดึงราคาให้สูงขึ้นไปอีก เพราะคนที่มีน้ำมันดิบ หรือ น้ำมันซีพีโอ เก็บไว้ก็ได้ดันราคาของเดือนที่แล้วออกมาทยอยขายให้ได้กำไร เรียกว่าดันราคาเพื่อรักษาการทำกำไร จากน้ำมันที่มีการเก็บสต๊อกไว้
น้ำมันขวดที่ขายวันนี้ ต้องให้ดูขวดว่าน้ำมันปาล์ม มาคิดคำนวณติดป้ายราคา เป็นน้ำมันปาล์มวันไหน เพราะถ้าโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม สต๊อกน้ำมันเป็นของเดือนที่แล้ว (ธันวาคม) น้ำมันราคาอยู่ที่ 49 บาท/กิโลกรัม ต้องสังเกตในห้างน้ำมันขวดผลิตวันที่เท่าไร เกรงว่าทางห้างโมเดิร์นเทรด นำราคาปัจจุบันมาเพิ่มราคาน้ำมันปาล์มขวด โยนภาระให้ผู้บริโภคจ่ายก็กระอักเลย เหมือนเอาหมูในสต๊อก เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว กก.ละ 100 บาท มาขายในราคาวันนี้ ที่ กก.ละ 250 บาท
เช่นเดียวกับน้ำมันปาล์ม กกร. โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้ดูในเรื่องของความเป็นธรรมในเรื่องของราคา ไม่เช่นนั้นจะเกิดการฉวยโอกาสของผู้ค้าในการเอาเปรียบกับผู้บริโภค โดยอ้างวันนี้ ผลปาล์มทะลาย ที่ 12 บาท/กก. น้ำมันซีพีโอ อยู่ที่ 60 บาท/กก.แล้ว เมื่อคำนวณน้ำมันพืชจะต้องไปถึงที่ราคา 70 บาท/ขวดแล้ว อย่างนี้จะทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบฉวยโอกาส ทำให้เกิดวิกฤติสินค้าราคาแพง
นายอธิราษฎร์ กล่าวว่า ราคาผลปาล์ม วันนี้ (23 ม.ค.65) สูงสุดในประวัติศาสตร์แล้ว แสดงว่าน้ำมันปาล์มมีคุณค่า มีความหมายจริง ราคาขณะนี้ก็ยังมีคนซื้อ ก็เห็นใจผู้ประกอบการ เห็นใจชาวบ้าน ถึงแม้ว่าจะเป็นความดีใจในระยะสั้นๆ สำหรับเกษตรกร ส่งผลทำให้เกษตรกรหันมาเอาใจใส่ผลปาล์มมากขึ้น มีการตัดแต่ง ตัดญ้ามากขึ้น มีการใส่ปุ๋ย เป็นพืชที่มีความหมายกับชีวิต เลี้ยงชีพได้ มีราคา ใช่ว่าจะไร้ราคา
ระหว่างที่ตัดไป 15 วัน และอีก 15 วันไม่ได้ตัด จะมีผลปาล์มร่วงลงมา ตอนนี้ไม่มีเหลือเลย ไม่ใช่มดกิน หรือสัตว์ป่าอะไรมากิน มีคนมาเก็บ เพราะลูกร่วง ใต้โคน กก.ละ 14 บาท เพราะลูกร่วงราคาสูงกว่า เพราะถือว่าได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันเยอะกว่า แต่เสียค่าเก็บ กก.ละ 2 บาท ส่วนปาล์มทะลาย ค่าแรง 500-1,000 บาท/ตัน คิดประมาณ 50 สตางค์ ถึง 1 บาท แล้วแต่สภาพพื้นที่
“วันนี้เราได้เห็น 12 บาท/กก.แล้ว อีกไม่ช้าอาจจะได้เห็น 13 บาท/กก. ซึ่งมีความเป็นไปได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความรู้สึกเป็นห่วงกังวลกับผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ที่จะต้องเจอกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น แต่เนื่องจากว่ากลไกตลาดมีการแย่งชิง ผลผลิตน้อยมาก จากผลกระทบปาล์มราคาตกต่ำ ทำให้เกษตรกรดูแลผลผลิตได้ไม่ดีกว่าจะส่งผลลากยาว บวกกับสถานการณ์โลก โลกต้องการน้ำมันปาล์มแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น”