นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันอาจแตะ 100 ดอลลาร์ในไตรมาสแรกปีนี้
จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียอาจลุกลามเป็นสงครามและตามด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก ปัจจัยดังกล่าวจะดึงให้ราคาพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
หากรัสเซียตอบโต้การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกด้วยการปิดท่อส่งก๊าซทั้งหมดที่เข้าไปในยุโรปซึ่งคิดเป็นปริมาณการใช้ 1 ใน 3 จะส่งผลให้ราคาก๊าซและพลังงานในยุโรปพุ่งสูงขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ข่าวดี คือ ในอดีตรัสเซียยังไม่เคยปฏิบัติการปิดท่อส่งก๊าซส่งออกทั้งหมดเนื่องจากจะกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียอย่างรุนแรงด้วย ในช่วงความขัดแย้งสูงสุดในยุคสงครามเย็นหรือช่วงวิกฤตการณ์คาบสมุทรไครเมียเมื่อปี พ.ศ. 2557 ก็มีการปิดท่อบางส่วนเท่านั้น
ทั้งนี้ ไม่ควรประเมินในแง่ดีว่าจะไม่เกิดขึ้น หากเกิดขึ้นจะสร้างความซับซ้อนต่อราคาพลังงานในตลาดโลกอย่างยิ่ง และน่าจะทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะระดับ 120-130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากมีการตอบโต้กันด้วยการปิดท่อส่งก๊าซทั้งหมด
รวมทั้งหากมีการปิดกั้นไม่ให้รัสเซียใช้ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ Swift (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของประเทศต่างๆรวมทั้งไทยที่มีธุรกรรมทางการเงินกับรัสเซียได้ ทั้งระบบการชำระเงิน ระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำอาจปรับเพิ่มอีกอย่างน้อย 10-20% จากระดับปัจจุบันในปีนี้ นักลงทุนมีแนวโน้มโยกเงินมาถือครองสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่าง ทองคำ และ พันธบัตร มากขึ้น เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ ทยอยลดปริมาณเงินและถอนมาตรการ QE ในตลาดการเงินโลก
รวมทั้งคาดว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากถึง 5 ครั้งในปีนี้มากกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้เดิม โดยตลาดหุ้นไม่น่าจะมีการปรับฐานปรับตัวลงแรงเนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นทั่วโลกสะท้อนการคาดการณ์นี้เข้าไปในราคาแล้ว
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียว่า จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจการส่งออกและการลงทุนของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มทุนข้ามชาติสัญชาติไทยโดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ภาคการก่อสร้างและภาคบริการ ทางรัฐบาลซาอุฯได้เปิดกว้างให้นักลงทุนไทยสามารถถือหุ้นได้ถึง 100%
รวมทั้งมีมาตรการให้สิทธิพิเศษในการเช่าที่ดินระยะยาวด้วยขณะเดียวกัน สินค้าหลักที่ซาอุฯมีอุปสงค์สูง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและอาหาร คือ ข้าว น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋อง อาหารแปรรูป ซอสปรุงรส เครื่องดื่มที่ โอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทยยังรวมถึงการเปิดร้านอาหารไทย
ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ส่งออกจากไทยโดยเฉพาะแอร์หรือเครื่องทำความเย็นก็มีความต้องการสูงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี คาดว่าการลงทุนในกิจการพลังงานและเหมืองแร่ในไทยโดยกลุ่มทุนธุรกิจซาอุดิอาระเบียจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญในระยะต่อไป ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 30 ปีของการลดระดับความสัมพันธ์กันส่งผลให้ปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างกันอยู่ในระดับต่ำมาก อย่างตัวเลขของปีที่แล้ว (พ.ศ. 2564) มีการค้าระหว่างกันมูลค่ารวม 2.3 แสนล้านบาท
ไทยนำเข้าสินค้าจากซาอุฯ 1.8 แสนล้าน ไทยส่งออก ประมาณห้าหมื่นล้านบาท ถือว่าค่อนข้างต่ำ ยังสามารถเติบโตได้อีกมากหากมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีขึ้น
คาดปีนี้มูลค่าการค้ากับซาอุฯน่าจะมากกว่า 350,000-400,000 ล้านบาท โดยไทยจะยังขาดดุลการค้ากับซาอุฯจากการที่ต้องนำเข้าน้ำมันและสินค้าพลังงานเพิ่มขึ้น การเติบโตเพิ่มขึ้นปริมาณและมูลค่าของการนำเข้า
และการส่งออกจะทำให้ สัดส่วนมูลค่าการค้าระหว่างไทยและซาอุฯเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับก่อนวิกฤติความสัมพันธ์ได้ภายในปีนี้ มูลค่าการส่งออกไปซาอุฯ ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.6%ของการส่งออกทั้งหมดเมื่อปี พ.ศ. 2564
เมื่อไทยเปิดประตูการค้ากับซาอุฯ ได้มากขึ้น จะทำให้สัดส่วนการส่งออกไปซาอุฯเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ได้