นายเอนก มีมงคล รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรม.กลาโหม เป็นประธาน วันที่ 14 ก.พ.2565 ได้เห็นชอบเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566 – 2570
ทั้งนี้ในการพัฒนาตามแผนนั้น กำหนดแนวทางไว้ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนพัฒนาของแต่ละภาค เช่น ภาคเหนือ เน้นการพัฒนาตามแผนล้านนา ครีเอทีฟ การแก้ปัญหาความยากจน ภาคอีสานเน้น เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจกลุ่มลุ่มน้ำโขง การท่องเที่ยว และภาคใต้ เน้นการท่องเที่ยว เกษตร และระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นต้น
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งหมดจำนวน 1,854 โครงการ กรอบวงเงิน 40,822 ล้านบาท แยกเป็น
พร้อมทั้งเห็นชอบข้อเสนอแผนงานโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับร่างกรอบแผนพัฒนาภาค พ.ศ. 2566 - 2570 ที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 937 โครงการ โดยให้สำนักงบประมาณให้ความสำคัญและพิจารณาสนับสนุนงบประมาณโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการภาค
ขณะเดียวกันยังเห็นชอบการขอโอนเปลี่ยนแปลงโครงการเพื่อชดเชยเงินถูกพับไปของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2563 และยังเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการใช้งบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อดำเนินการตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ รวมถึงการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค
ทั้งนี้ในการประชุม นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำความสำคัญในการดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่มีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะในด้านการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้า โดยดำเนินการให้มีความสอดคล้องกัน และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการร่วมกัน
รวมทั้งควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานในระยะที่ผ่านมา เพื่อประเมินผล และให้ความสำคัญกับการสื่อสารเกี่ยวกับการดำเนินงานพัฒนาให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้และสร้างความเข้าใจร่วมกัน