นายวรรณชัย บุตรทองดี ผู้อำนวยการกองวิศวกรรม กรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า สำหรับการสัมมนาโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นการต่อยอดจากการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือสำราญ ซึ่งกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญ ณ บริเวณแหลมหินคม ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost โดยรัฐจะลงทุนในส่วนของค่าเวนคืนที่ดิน ค่างานก่อสร้างโยธาและค่างานระบบภายในอาคารทั้งหมด และให้เอกชนลงทุนในส่วนของอุปกรณ์ประกอบการดำเนินงาน ดำเนินงานและบำรุงรักษาท่าเรือ รวมถึงให้เอกชนมีสิทธ์ในรายได้ของโครงการทั้งหมดเป็นระยะเวลา 30 ปี ทั้งนี้ หากรายได้ของโครงการต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่เอกชนคาดหวัง เอกชนอาจได้รับการชดเชยผลตอบแทนจากภาครัฐในรูปแบบของเงินสนับสนุนหรือเงินร่วมลงทุน และหากรายได้ของโครงการสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่เอกชนคาดหวัง เอกชนอาจต้องแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐ ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทาน
สำหรับท่าเทียบเรือดังกล่าวมีความสามารถในการรองรับของท่าเรือสำราญ จะสามารถรองรับเรือสำราญได้พร้อมกัน 2 ลำ ได้แก่ เรือสำราญขนาดใหญ่ 4,000 คน เรือสำราญขนาดกลาง 2,500 คน และรองรับเรือยอร์ชสูงสุด 80 ลำ เรือเฟอร์รี่สูงสุด 6 ลำ ซึ่งท่าเรือมีขนาดความยาวหน้าท่า 362 เมตร ความลึกร่องน้ำ 12 เมตร อาคารผู้โดยสารบรรจุ 3,600 คน ซึ่งโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) จะเป็นการส่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศและสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวให้กระจายเม็ดเงินไปสู่ผู้คนในท้องถิ่น ตลอดจนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของการท่องเที่ยวทางน้ำในอนาคต
ที่ผ่านมานโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า ดำเนินการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อศึกษาแผนแม่บท รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ในการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ บริเวณเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และตามแผนแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยมีความเกี่ยวข้องในด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญทางนำ้ ที่ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสำราญทางทางทะเลและชายฝั่ง
ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนครั้งที่เรือสำราญเข้าเทียบท่าสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระหว่างปี 2014 - 2019 ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของจำนวนครั้งที่เรือสำราญเข้าเทียบท่าสูงถึงร้อยละ 87.7 โดยในปี 2019 ประเทศไทยมีเรือสำราญที่เข้าเทียบท่าจำนวน 550 ครั้ง โดยเกาะสมุย มีเรือสำราญที่เข้าเทียบท่าจำนวน 59 ครั้ง สูงที่สุดเป็นอันดับ3 รองจากท่าเรือภูเก็ตและท่าเรือแหลมฉบังเท่านั้น โดยระหว่างปี 2010-2019 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเรือสำราญเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 5.3 ต่อปี
อย่างไรก็ตามเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่มีความสำคัญซึ่งเรือสำราญที่เข้าไทยมักเลือกเป็นจุดแวะพักของเรือสำราญ เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงามและแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย แต่ในปัจจุบันเรือสำราญยังไม่สามารถเข้าเทียบท่าได้โดยตรง จะต้องอาศัยเรือขนาดเล็กในการรองรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญขึ้นมาท่องเที่ยวและใช้จ่ายบนเกาะสมุย ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยและไม่สะดวกกับนักท่องเที่ยว