กนอ. ตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมแห่งใหม่ดูดเงินลงทุนพื้นที่อีอีซี 4.58 หมื่นล.

18 มี.ค. 2565 | 04:08 น.
อัปเดตล่าสุด :18 มี.ค. 2565 | 11:08 น.

กนอ. ตั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมแห่งใหม่ดูดเงินลงทุนพื้นที่อีอีซี 4.58 หมื่นล. รับอุตสาหกรรมเป้าหมาย คาดหลังเปิดดำเนินการเกิดการจ้างงานเพิ่ม 11,460 คน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) อนุมัติในหลักการให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 1 แห่ง โดยร่วมดำเนินงานกับ บริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีน จำกัด ในรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) การขยายตัวของอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve และอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการของอีอีซี  

 

รวมถึงตอบสนองนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพตามยุทธศาสตร์ของประเทศเชิงพื้นที่ (Area based) โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาและให้บริการระบบสาธารณูปโภคภายใต้การกำกับของ กนอ.
 

สำหรับโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหนองละลอก ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พื้นที่ประมาณ 1,546 ไร่  โดยที่ตั้งของโครงการฯ ถือว่ามีความได้เปรียบจากการเป็นพื้นที่ดอน ไม่มีความเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม

 

ด้านหน้าโครงการติดถนนทางหลวงแผ่นดิน และห่างจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เส้นทางชลบุรี-พัทยา ประมาณ 14 กิโลเมตร 

 

กนอ.อนุมัติตั้งนิคมฯ ร่วมแห่งใหม่ดูดเงินลงทุนพื้นที่อีอีซี 4.58 หมื่นล้านบาท

 

อยู่ห่างจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 24 กิโลเมตร ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ประมาณ 40 กิโลเมตร ท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง ประมาณ 60 กิโลเมตร และห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 150 กิโลเมตร 

 

นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้พื้นที่เขตประกอบการอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง อาทิ เขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ประมาณ 7 กิโลเมตร นิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี ประมาณ 8 กิโลเมตร และนิคมอุตสาหกรรม อาร์ ไอ แอล ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นต้น 

ตัวโครงการแบ่งพื้นที่เป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรมทั่วไป ประมาณ 1,123 ไร่ พื้นที่โรงไฟฟ้า ประมาณ 22 ไร่ พื้นที่ระบบสาธารณูปโภค 181 ไร่ พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน ประมาณ 218 ไร่ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดและเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี โดยหลังเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 45,840 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นประมาณ 11,460 คน 

 

อย่างไรก็ตาม โครงการฯ อยู่ในพื้นที่เป้าหมายของ EEC อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ อีกทั้งผู้ประกอบการยังได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการส่งเสริมของ EEC ด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถขาย/ให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ในระยะเวลา 5 ปี

 

นายวีริศ กล่าวต่อไปอีกว่า โครงการฯ ดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่อีอีซีของรัฐบาล ที่มีการขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานในระบบสาธารณูปโภค อาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภาเมืองการบินภาคตะวันออก ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการชักจูงให้มาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve 

 

"กนอ.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับนักลงทุน ซึ่งจากการพิจารณาข้อเสนอของการจัดตั้งนิคมฯ ดังกล่าวนั้น กนอ.เห็นว่า นอกจากศักยภาพของโครงการฯ ทั้งในด้านทำเลที่ตั้ง การเชื่อมโยงเครือข่ายด้านคมนาคมขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แล้ว บริษัทยังมีความพร้อม มีฐานลูกค้า และมีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะทำให้โครงการฯ ประสบความสำเร็จได้” 
 

นายวีริศ กล่าวอีกว่า การจัดตั้งนิคมฯ ดังกล่าว นำแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town)มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ โดยจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ

 

รวมทั้งจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรมไม่น้อยกว่า 10%  มีการนำน้ำทิ้งไปผ่านการบำบัดและปรับปรุงคุณภาพเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ (Recycle) เพื่อลดอัตราการระบายน้ำทิ้งออกนอกพื้นที่

 

อีกทั้ง ยังใช้แนวคิดการออกแบบอาคารแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design) รวมถึงการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (Green Building) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้พลังงานทดแทน

 

ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับของคณะกรรมการ กนอ.ว่าด้วยมาตรฐานระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสำหรับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ พ.ศ. 2557 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 

"กนอ.พร้อมดำเนินการตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม"