"สงครามนิวเคลียร์"กับผลกระทบต่อไทยมีอะไรบ้าง เอาตัวรอดอย่างไร อ่านเลย

21 มี.ค. 2565 | 03:19 น.
อัปเดตล่าสุด :21 มี.ค. 2565 | 10:19 น.

สงครามนิวเคลียร์กับผลกระทบต่อไทยมีอะไรบ้าง เอาตัวรอดอย่างไร อ่านเลย อ.นิด้ามองฉากทัศน์ต่อสภาวะแวดล้อม การเสียชีวิต

สงครามนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนบนโลกล้วนแต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่จะกิดขึ้นตามมาคือความสูญเสียที่มหาศาล

 

นายสันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว (Sunt Srianthumrong) โดยมีข้อความว่า

 

สงครามนิวเคลียร์: Nuclear Winter 1 ใน 3 หายนะที่จะเกิดขึ้นใน WW3 ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนคิด แต่มีโอกาสรอด (น้อย) ถ้าเตรียมตัว

 

สำหรับพ่อบ้านแม่บ้าน และครอบครัวเอาตัวรอด ไม่ใช่ Government Policy 
การรบใน WW3 ในทาง Strategic Plan ระเบิด Nuclear คงไม่มาลงที่เรา เราอาจจะรอดจากหายนะที่ 1 คือ Nuclear Blast แน่ๆ

 

แต่หายนะที่ 2 คือ Fall Out จากฝุ่นนิวเคลียร์ที่ฟุ้งขึ้นไปถึงสตราโตสเฟียร์แล้วตกลงมา เราอาจจะโดนบ้างแน่ๆ

 

ส่วนหายนะที่ 3 คือ Nuclear Winter หรือ ฤดูหนาวนิวเคลียร์ ประเทศไทยไม่รอด โดนกันทั้งโลก 

 

ฉากทัศน์ของสงคราม:

 

หัวรบที่มีในปัจจุบัน:

 

ประมาณ 26,000 หัวรบ และมี 11,000 พร้อมยิง

 

ขนาดของระเบิด Nuclear:

 

ลูกที่ทิ้งที่ Hiroshima มีขนาด 15 ktons 

แต่ที่น่าจะใช้ใน WW3 คือ 100 ktons ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่ติดตั้งพร้อมใช้งานอยู่ในเรือดำน้ำของประเทศมหาอำนาจ

 

ระเบิดทั้งหมดที่จะใช้ในการรบเชิงยุทธวิธี:

 

4,400 ลูก รวม 440-Mt 

 

"Russia targets 1000 weapons on the US and 200 warheads each on
France, Germany, India, Japan, Pakistan, and the UK. We assume
the US targets 1100 weapons each on China and Russia"

 

การเสียชีวิต:

 

ตายทันที 770 ล้านคน 

 

ตายจาก Fall Out เป็นมะเร็งตายภายหลังอีกจำนวนมากมหาศาล

 

ตายจากฤดูหนาวนิวเคลียร์ เป็นส่วนใหญ่ 

 

ผลกระทบกับสภาวะแวดล้อม:

 

  • ฝุ่นจำนวนมากถึง180 Tg จากการระเบิดจะปกคลุมชั้น Stratosphere ไป 10 ปี

 

  • Ozone ในชั้นบรรยากาศบนถูกทำลาย: ในกรณีสงคราม Nuclear ระดับเล็ก ที่ทำให้เกิดฝุ่น 5 Tg Ozone จะลดลง 25–45% ที่ middle latitudes, และลดลงมากถึง 50–70% ในเขต Northern high latitudes ส่วนกรณีสงครามใหญ่ขนาด WW3 ยังไม่มีใครคำนวณไว้
  • ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยลดลงถึง 45% 

 

Nuclear Winter:

 

ฝุ่นที่ปกคลุม Stratosphere จะทำให้แสงแดดที่ตกถึงพื้นโลกอาจลดน้อยลงถึง 70% ในซีกโลกเหนือ อุณหภูมิโลกจะลดลงต่ำลงกว่าปกติ -9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะหนาวเย็นกว่ายุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดถึง 4 องศา เป็นเวลายาวนานถึง 10 ปี 

 

การเพาะปลูก: 

 

พื้นที่เพาะปลูกสำคัญเช่น ยูเครน จะไม่เหลือฤดูกาลที่เพาะปลูกได้เลย ส่วนรัฐ IOWA จะเหลือแค่ 20% 

 

สิ่งที่น่าจะเกิดกับประเทศไทย:

 

  • ภาคเหนือ ภาคอีสาน หนาวตายจำนวนมากเพราะอุณหูมิติดลบในหน้าหนาว เราไม่มี Heater และไม่ได้สร้างบ้านเรือนเผื่อไว้

 

  • ภัยแล้งที่รุนแรงมากเพราะฝนหายไปมากกว่าครึ่ง แม่น้ำโขงคงแห้งสนิท

 

  • ไร่ นา สวน ล่มทันที ปศุสัตว์ล้มตาย เพราะอุณภูมิลดลงมากไปจนเป็นคนละเขตภูมิอากาศ

 

  • ภาคใต้จะมีหน้าหนาวที่หนาวจัด ไม่น่าจะมีน้ำเพียงพอสำหรับสวนปาล์ม

 

  • อาหารจะขาดแคลน ไม่พอกิน จะมีผู้คนอดตายจำนวนมาก

 

  • ประชากรโลกน่าจะตายใน Nuclear Winter หลายพันล้านคนเพราะไม่มีอาหาร ประเทศไทยก็น่าจะมีคนเหลือรอดไม่ถึงครึ่งประเทศ 

 

  • เกิด Hyper Inflation เงินจะไม่มีค่าเลย 

 

  • จะมีคนอพยพหนีหนาวตายจากทางเหนือ อาจเกิดสงครามขนาดย่อม

 

หลักการเอาตัวรอด 10 ข้อ:

 

  • เตรียมอาหาร น้ำสะอาด เพื่อหลบ Fall Out ที่มีกัมตภาพรังสีสูง อยู่แต่ในบ้านให้ได้สัก 2-3 เดือน หลังจากนั้นรังสีจะลดลงไปมากแล้ว 

 

  • เตรียมอาหาร น้ำ ให้พอกินระยะแรก 2 ปี 

 

  • อพยพไปที่ที่ดินดีสามารถเพาะปลูกได้ ไม่ใช่เขตแห้งแล้ง และมีน้ำบาดาล ภาคใต้ ภาคตะวันออก มีโอกาสรอดสูงสุด เพราะฝนชุกที่สุด 

 

  • เตรียมการเพาะปลูกพืชทนแล้งทนหนาว และเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก

 

  • เตรียมระบบโซล่าเซลไว้ผลิตไฟฟ้า เพื่อมีไฟใช้ ปั๊มน้ำทำงาน

 

  • เตรียมยา เตรียมอุปกรณ์ช่าง อะไหล่ วัสดุจำเป็น ไม่ต้องเก็บเงินไว้มากนัก เพราะจะเฟ้อจนไร้ค่า

 

  • เปลี่ยนเงินที่เหลือเป็นทองคำ 

 

  • สร้างพันธมิตรและชุมชน ครอบครัวเดียวไม่มีทางรอดจากความป่าเถื่อนของยุคสมัย คุณต้องมีพรรคพวกและชุมชนที่ช่วยกัน

 

  • คุณอาจต้องติดอาวุธ ถ้ารัฐบาลยังไม่ล่มสลาย คุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายทหารระดับสูง 

 

  • อดทนต่อสู้ทั้งกายและใจให้ได้ 10 ปี 

 

ถ้าใครก็ตามที่รอดมาได้ ซึ่งผมคิดว่าทั้งโลกคงเหลือไม่ถึง 100 ล้านคน บางทีอาจจะแค่หลักแสน พวกเขาก็จะมีหน้าที่สร้างโลกขึ้นมาใหม่ ธรรมชาติคงใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะเริ่มฟื้นตัว

 

และนับพันปีกว่าพืชและสัตว์จะเริ่มกลับมา ส่วนมนุษย์อย่างพวกเราน่าจะใช้เวลาหลายพันปีกว่าจะสร้างอารยธรรมกลับมาได้เหมือนเดิม 

 

จากปลายยุคค้ำแข็ง มาถึงการสร้างกรุงโรมก็ 7,000 ปี  ผมคิดว่าประมาณนั้นแหละ