บขส.เล็งทุ่มงบ 2 พันล้าน เขย่าแผนเช่ารถ EV
บขส.กางแผนเช่ารถโดยสารใหม่ 2,000 ล้านบาท ปัดกระทบนโยบาย EV จ่อเสนอไฟเขียว มิ.ย.นี้ เล็งประมูลใช้รถไฟฟ้า EV 368 คัน คาดลดประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ 60%
ดร.สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องนโยบาย EV กระทบแผนเช่ารถโดยสารใหม่ของ บขส. ว่า เรื่องดังกล่าวยังเป็นไปตามแผนฯ ขณะนี้ บขส. ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ดำเนินการศึกษาเรื่องความเป็นไปได้ในการนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) มาใช้เป็นรถโดยสาร ซึ่งในเบื้องต้นผลการศึกษา พบว่าเส้นทางในระยะทางไม่เกิน 400 กิโลเมตร เหมาะสมที่จะใช้รถพลังงานไฟฟ้า ส่วนในระยะทางที่ไกลกว่านั้น รถที่ใช้น้ำมันดีเซล ยังคงมีความเหมาะสมอยู่ จึงต้องทำการวิเคราะห์ เพื่อจัดลำดับในการใช้รถไฟฟ้า หรือรถน้ำมันดีเซล ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับกลยุทธ์และบริหาร และคณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาต่อไปภายในเดือนมิถุนายน 2565
ส่วนรถโดยสารขนาดเล็ก (มินิบัส) ขนาด 21 ที่นั่ง มีความเป็นไปได้ที่จะนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาวิ่งให้บริการในระยะทางไม่เกิน 300 กม. โดยมีแผนจะนำร่อง 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 904 หมอชิต-สระบุรี 8 คัน, สาย 313 รังสิต-มหาวิทยาลัยบูรพา 8 คัน, สาย 319 รังสิต-แหลมฉบัง 10 คัน, สาย 316 รังสิต-นิคมฯ บ่อวิน 10 คัน, สาย 305 รังสิต-มาบตาพุด-ระยอง 10 คัน รวมประมาณ 46 - 60 คัน
ดร.สัญลักข์ กล่าวต่อว่า การนำรถโดยสารไฟฟ้ามาให้บริการจะช่วยลดต้นทุนการเดินลดได้ 20-30% เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่การให้บริการด้วยรถโดยสารไฟฟ้านั้น จะต้องมีการสถานีชาร์ตไฟฟ้า รองรับระหว่างเส้นทางวิ่งด้วย จึงต้องมีการศึกษาให้รอบคอบ
รายงานข่าวแจ้งว่า บขส.มีแผนจัดหารถโดยสารใหม่ คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท ดำเนินการเช่าเป็นเวลา 7 ปี อ้างอิงจากระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ ทำให้ บขส.ไม่ต้องแบกรับต้นทุนการเปลี่ยนแบตเตอรี่เพิ่มเติมอีก โดยที่เอกชนผู้ชนะการประมูลจะต้องเป็นผู้ลงทุนในส่วนของสถานีชาร์ตไฟฟ้ารองรับระหว่างเส้นทางวิ่ง เบื้องต้นจะต้องมีสถานีชาร์จทุกๆ การวิ่ง 300 กิโลเมตรเป็นรถพลังงานไฟฟ้า (รถอีวี)
ส่วนแผนจัดหารถโดยสารใหม่ รวมทั้งหมด 368 คัน แบ่งเป็น รถโดยสารขนาดเล็ก 72 คัน นำมาให้บริการใน 8 เส้นทาง และรถโดยสารขนาดใหญ่ 296 คัน นำมาให้บริการใน 52 เส้นทาง คาดว่าร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2565 ก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ และออกประกาศ เชิญชวนเอกชนร่วมยื่นข้อเสนอภายในช่วงกลางปีนี้
“หลังจากได้ผู้ชนะประมูลรถแล้ว คาดว่ารถโดยสารขนาดเล็ก เริ่มทยอยส่งมอบต้นปี 2566 ส่วนรถโดยสารขนาดใหญ่ จะเริ่มทยอยส่งมอบและให้บริการในช่วงกลางปี 2566 ตามแผนจะนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมในเส้นทางที่ได้รับความนิยมสูง อาทิ กรุงเทพฯ-แม่สอด และอีกหลายเส้นทางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
นอกจากนี้การจัดหารถใหม่จะเป็นรถเช่าทั้งหมดโดยใช้พลังงานไฟฟ้า จะช่วยประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ได้ราว 60% จากค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในปี 64 ที่มีอยู่ 295.539 ล้านบาท