ปัจจุบันการทำฟาร์มปศุสัตว์ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงแม้ในตอนแรกเราจะคัดเลือกสถานที่ตั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้อยู่ห่างไกลจากชุมชนแล้วก็ตาม แต่ที่สุดแล้วในอนาคตชุมชนก็จะขยายตัวเข้ามาใกล้กับฟาร์มอย่างแน่นอนดังนั้นการหาวิธีการจัดการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
รายงานจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เผยว่า จากการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซีพีเอฟจึงส่งเสริมให้เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มทำ “ฟาร์มระบบปิด” ตามมาตรฐานของบริษัท โดยมีระบบปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรือ EVAP ที่ทำให้สัตว์อยู่สบาย และยังสามารถลดกลิ่นจากการเลี้ยงสัตว์ ลดก๊าซแอมโมเนีย รวมถึงก๊าซมีเทน ที่เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ควบคู่กับการใช้ระบบไบโอแก๊สเพื่อจัดการของเสีย ที่ช่วยลดสัตว์พาหะเช่นแมลงวัน ลดกลิ่น เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม และยังได้ก๊าซชีวภาพนำมาปั่นเป็นไฟฟ้าใช้ในฟาร์มช่วยลดรายจ่ายค่าพลังงานไฟฟ้า ช่วยสร้างมูลค่าและเพิ่มคุณค่าให้กับของเสียได้ 100%
"อภิรัตน์ แก้ววิเศษ” วัย 39 ปี ผู้ที่ผันตัวเองจากสัตวบาล สู่อาชีพเกษตรกรเลี้ยงหมู เจ้าของ "อภิรัตน์ฟาร์ม" อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เล่าถึง ก่อนจะย้อนที่มาของการเป็นเกษตรกร ในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรขุนแก่เกษตรกรรายย่อย ที่ซีพีเอฟสนับสนุน ย้อนไปเมื่อปี 2548 หลังจากตัดสินใจออกมาทำไร่กับภรรยา ในช่วง 4 ปีแรก เมื่อประสบปัญหาภาวะแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงยาวนาน ทำให้พืชผลที่ลงไว้ให้ผลผลิตไม่ดีนัก
ดังนั้นจึงปรึกษากันว่าน่าจะลองหาอาชีพอื่นเสริมเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งที่บ้านภรรยาทำฟาร์มแม่พันธุ์หมูกับซีพีเอฟอยู่ก่อนแล้ว และเห็นว่าอาชีพนี้มีความมั่นคง สร้างรายได้ที่แน่นอน และตนเองก็มีพื้นฐานด้านสัตวบาล จึงตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่ด้านหลังฟาร์มของครอบครัว จำนวน 8 ไร่ มาสร้างโรงเรือนเลี้ยงหมูขุน 2 หลัง เป็นระบบโรงเรือนปิด ความจุหมูโรงเรือนละ 700 ตัว
การตัดสินใจครั้งนั้น บวกกับความใส่ใจที่ทั้งตัวเองและภรรยาทุ่มเทลงไป ปรากฎผลชัดเจนจากอัตราเจริญเติบโตของหมูแต่ละรุ่นอยู่ในเกณฑ์ดีมาก อัตราเสียหายค่อนข้างต่ำ รายได้ที่ดีจึงตามมา จากนั้นได้ตัดสินใจขยายการเลี้ยงอีก 5 โรงเรือน รวมเป็น 7 โรงเรือน ความจุหมูรวม 6,500 ตัว พร้อมทั้งเห็นโอกาสในการขยายการเลี้ยงหมูแม่พันธุ์อีก จึงตัดสินใจลงทุนทำฟาร์มแม่พันธุ์ 250 แม่ เพราะเห็นแล้วว่าอาชีพนี้สำเร็จได้แน่นอน
“ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้และผลตอบแทนมั่นคง ทำให้เรากล้าตัดสินใจ และพัฒนาการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ระบบกล้องวงจรปิด ไซโลอาหารอัตโนมัติ และเตรียมนำระบบ Smart Farm เต็มรูปแบบมาใช้ เช่น การใช้ inverter และโซล่าเซลล์ โดยอีก 2 ปีข้างหน้า มีแผนจะขยายการเลี้ยงหมูขุน อีก 4 หลัง" อภิรัตน์ กล่าวอย่างมั่นใจ
ส่วนการจัดการของเสียและสภาพแวดล้อมของอภิรัตน์ฟาร์ม ที่ไม่ได้ “กลิ่นขี้หมู” อภิรัตน์บอกว่า เป็นเพราะที่นี่ใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ นอกจากการทำโรงเรือน EVAP ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมส้วมน้ำที่ช่วยทั้งลดกลิ่น ทำให้คอกและตัวหมูสะอาด ช่วยลดการใช้น้ำในระบบการเลี้ยง และยังเชื่อมโยงกับการบำบัดของเสียด้วยระบบไบโอแก๊สแล้ว ที่ฟาร์มยังใช้นวัตกรรม "ระบบฟอกอากาศ" ช่วยกรองกลิ่นที่บริเวณท้ายโรงเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังปลูกต้นไม้เป็นแนวกันกลิ่นอีกชั้น
"สำหรับน้ำหลังการบำบัดด้วยไบโอแก๊ส เราทำบ่อล้นหลาย ๆ บ่อเพื่อกรองน้ำให้ใส โดยบ่อที่ 4 บ่อสุดท้าย จะเชื่อมต่อเข้าระบบคลองไส้ไก่ในสวนกล้วย 4 ไร่ เป็นการเพิ่มพื้นที่ให้น้ำตกตะกอนให้ได้มากที่สุด นอกจากจะได้น้ำใสสะอาดไร้กลิ่นและเป็นน้ำปุ๋ยที่มีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับต้นไม้แล้ว ผลผลิตกล้วยที่ได้ยังดก ผลใหญ่ เพื่อใช้ผสมกับอาหารให้ลูกหมูแรกรับกิน จึงไม่ต้องซื้อกล้วยอีกเลย”
ที่สำคัญยังเดินหน้าตามนโยบาย "กรีนฟาร์ม" ของซีพีเอฟ ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมภายในฟาร์มให้เป็นสวนป่า ช่วยให้ร่มรื่น ลดอุณหภูมิรอบๆโรงเรือน และยังช่วยดูดซับกลิ่น ลดผลกระทบต่อชุมชนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมได้เป็นอย่างดี