นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ได้ทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 เพื่อขอความอนุเคราะห์เร่งรัดการลงนามสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ภายใต้พื้นที่ EEC
โดยระบุว่า ตามที่ คณะกรรมการที่ราชพัสดุ ได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 เห็นชอบให้ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ซึ่งต่อมากรมธนารักษ์ได้นัดหมายลงนามสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกกับบริษัทฯ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565
แต่เมื่อถึงกำหนดการดังกล่าว กรมธนารักษ์ ได้เลื่อนการลงนามออกไปก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุ จนถึงขณะนี้กรมธนารักษ์ยังไม่ได้แจ้งกำหนดนัดหมายลงนามสัญญาใหม่ นั้น
ต่อมา บริษัทฯ ได้ทราบข้อเท็จจริงผ่านทางสื่อต่าง ๆ เพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก
ล่าสุด สื่อได้มีการนำเสนอว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตีกลับเรื่องการตรวจสอบให้กรมธนารักษ์ เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม ในประเด็นเรื่องของปริมาณน้ำ ปริมาณน้ำต่อปี ขนาดของท่อ ความจุท่อ รวมถึงอีกหลายๆ ประเด็นที่ยังเป็นข้อกังขาในขณะนี้ โดยให้เวลาเพิ่ม 30 วัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินการ
ทั้งนี้ เมื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า กระบวนการเปิดประมูลโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส แต่การตรวจสอบเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับระบบท่อส่งน้ำนั้น เป็นไปเพื่อให้เกิดความมั่นใจการดำเนินงานเท่านั้น
ดังนั้น การจัดให้มีการลงนามสัญญาจึงเป็นการรักษาผลประโยชน์ของภาครัฐโดยชอบธรรม เนื่องจาก บริษัทฯ เป็นผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุดที่ 25,693 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี โดยเมื่อมีการลงนามในสัญญาโครงการ บริษัทฯ จะต้องชำระผลประโยชน์ตอบแทนให้กรมธนรักษ์ ประกอบด้วย
มากกว่าที่กรมธนารักษ์ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เช่ารายเดิม (East Water) โดยผู้เช่ารายเดิมจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน รวมตลอดระยะเวลาเช่า 23 ปี (ตั้งแต่ปี 2540-2563) เป็นเงินคำตอบแทนประมาณ 341,750,244 บาท คิดคำนวณเฉลี่ยปีละ 14,858,706 บาท
นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและอุปโภคบริโภค เนื่องจาก เงื่อนไขในสัญญาโครงการฯ ได้กำหนดให้บริษัทฯ ต้องขายน้ำดิบตลอดอายุสัญญา 30 ปี ในราคาเฉลี่ยไม่เกิน 10.98 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะนี้ใกล้ครบกำหนดระยะเวลา 30 วัน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งให้ตรวจสอบเพิ่มเติมแล้ว และเพื่อให้การเตรียมการต่าง ๆ สำหรับการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเป็นไปตามแผนงานตามข้อเสนอโครงการ
บริษัทฯ จึงขอความอนุเคราะห์จากนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ผู้มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินโปรดพิจารณาสั่งการ เพื่อดำเนินการเร่งรัดลงนามสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานภาครัฐต่อไป