เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 65 นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้แจ้งความต่อตำรวจทั้งผู้นำส่งเร่งด่วน และผู้สั่งซื้อ กรณีที่มีการอายัดสินค้าขาเข้าเร่งด่วน ระบุชื่อผู้นำเข้า JULPAOS KRESOPON ไม่ระบุชื่อสินค้า ผ่านบริษัทขนส่งสินค้าเร่งด่วนทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ซึ่งจากการเปิดตรวจพบว่า สินค้ามีลักษณะคล้ายช่อดอกกัญชา/ กัญชง ซึ่งเป็นของต้องกำกัด และต้องมีใบอนุญาตนำเข้าจากกรมวิชาการเกษตรมาแสดงก่อนผ่านพิธีการศุลกากร
การกระทำดังกล่าว ถือเป็นเป็นความผิดฐานแสดงข้อมูลสินค้าไม่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกำกัด เป็นความผิดตามมาตรา 244 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 ซึ่งบทลงโทษของพ.ร.บ.ศุลกากรหนักกว่า ดังนั้นจึงต้องใช้อำนาจตามบทลงโทษของศุลกากร
ทั้งนี้หลังปรากฎในสื่ออนไลน์พบหลักฐานเลขใบขนสินค้าชัดเจน กรมศุลกากรจึงได้สืบค้นย้อนหลังพบว่า มีการส่งของมาในลักษณะดังกล่าวแล้ว 2 ครั้งแต่หลุดรอดจากการอารักษาของกรมศุลกากรออกไป เพราะผ่านการขนส่งเร่งด่วน ที่มีมาตรฐานสากล ประกอบกับครั้งแรก มีการสำแดงเป็นของตกแต่ง และครั้งที่ 2 สำแดงเป็นพื้นพลาสติก ดังนั้นครั้งที่ 3 จึงได้อายัดสินค้าไว้ โดยพบว่า สำแดงเป็นสินค้าเหล็ก
“จากการตรวจสอบทั้ง 3 ครั้งมีต้นทางจากรัฐแคลิฟอร์เนีย และการสำแดงสินค้าที่แตกต่างกันก็อาจจะต้องการหลีกเลี่ยงตั้งแต่ต้นทาง เพราะในสหรัฐอเมริกาเอง การขอส่งกัญชาออกนอกประเทศต้องขออนุญาตเช่นกัน เพราะการขนย้ายกัญชง/กัญชายังถูกควบคุมโดย UN เพราะยังถือว่าเป็นยาเสพติด แม้จะมีบางประเทศปลดกัญชง/กัญชา ออกจากยาเสพติด แต่ก็ยังมีหลายประเทศยังถือเป็นยาเสพติดเช่นกัน” นายพชรกล่าว
สำหรับการหลุดรอดไป 2 ครั้ง กรมศุลกากรต้องแจ้งความดำเนินคดีต่อไป แต่ในครั้งที่ 3 เนื่องจากอายัดไว้ได้ทันก็สามารถแจ้งความดำเนินการได้ทันที เพื่อส่งต่ออัยการและศาลต่อไป
ซึ่งสินค้าต้องกำกัดตามกฎหมายศุลกากร หากเป็นของอื่นๆที่ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม สามารถมาเปรียบเทียบปรับและจบในชั้นกรมศุลกากรได้ แต่กรณีกัญชง/กัญชา เป็นการไม่ยอมความต้องนำส่งศาลเท่านั้น ดังนั้นผลจากนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นกับการพิจารณาของศาล