รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ เปิดเผยว่า การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าด้วยการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัติโนมัติ หรือค่าเอฟที (FT) แบบเต็มเพดาน 6.12 บาทต่อหน่วยนั้นเป็นการซ้ำเติมวิกฤติราคาน้ำมันที่ประชาชนและธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆเผชิญอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ภาระค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) นั้นปรับขึ้นทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นราคาก๊าซธรรมชาติปรับขึ้นประมาณ 12-14% ราคาน้ำมันเตาเพิ่ม 1.4-1.6 ต่อลิตร ราคาน้ำมันดีเซล 2.3-2.4 บาทต่อลิตร ราคาถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้น 220-240 บาทต่อตัน
จึงเห็นว่า กฟผ. ควรทยอยปรับราคาครั้งละไม่เกิน 2 บาทต่อหน่อย ขณะเดียวกัน ควรเจรจากับบริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานการผลิตไฟจากการไฟฟ้าเพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพขึ้นและลดราคารับซื้อ
ปัญหาสภาพคล่องและการแบกหนี้ของ กฟผ นั้นเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้ กฟผ แบกรับค่าเอฟที แทนประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งต้องแบกภาระหนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว และอยู่ในภาวะใกล้ขาดสภาพคล่อง
รัฐบาลต้องคิดใหม่เรื่องนโยบายพลังงานไฟฟ้าและนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น การให้เอกชนเข้ามาแข่งขันในธุรกิจไฟฟ้าในต่างประเทศทำให้ระบบการผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
กรณีของประเทศไทย การใช้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhance single buyer model โดย กฟผ เป็นผู้ซื้อรายเดียวจากเอกชนเพียงไม่กี่รายจากการได้รับสัมปทานในการผลิตไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพในแง่อัตราการใช้ประโยชน์ในระบบการผลิตไฟฟ้าแย่ลงและสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แต่การเปิดเสรีกิจการไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์จะทำให้สวัสดิการสังคมโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า ต้นทุนและราคาไฟฟ้าจะลดลงอย่างมีนัยยสำคัญ ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ไม่ใช่มีเพียงผู้ผลิตไม่กี่ราย สายส่งขนาดเล็กควรแบ่งให้เอกชนดำเนินการในส่วนที่โครงข่ายมีความสมบูรณ์แล้ว ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อรถยนต์ใช้น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามลำดับ
การเปิดเสรีเพิ่มขึ้นและการเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองต่ออุปสงค์ในการใช้พลังงานไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ดำเนินการแปรรูปบริษัทลูกของ กฟผ.คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ที่ต้องการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไปขยายกิจการ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ
โดยพระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายกลางที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของรัฐวิสาหกิจประเภทที่มี พระราชบัญญัติจัดตั้งเฉพาะขึ้น เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หลังจากมีการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจแล้วและเริ่มมีการเตรียมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางแห่งและนำรัฐวิสาหกิจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
การเตรียมการไม่ได้นำไปสู่การดำเนินการในทางปฏิบัติในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย มาประสบความสำเร็จในการแปรรูปและนำรัฐวิสาหกิจบางแห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีการนำ ปตท. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ การท่าอากาศยานแห่งประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ องค์การสื่อสาร มวลชนแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มีความพยายามในการแปรรูป กฟผ. และนำ กฟผ. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ระงับการดำเนินการในการพิจารณาแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น
อย่างไรก็ตามกระแสของการแปรรูปต้องมาสะดุดและหยุดลงในปี ๒๕๔๙ เมื่อมีการเคลื่อนไหวคัดค้านการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอย่างกว้างขวางและรุนแรงโดยมีปัญหาทางการเมืองเข้ามาผสม และในที่สุดศาลปกครองสูงสุดได้สั่งระงับการขายหุ้นของบริษัท กฟผ จำกัด (มหาชน) ทำให้บริษัท กฟผ ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตอีกครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีการออกพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมทุนใน
โครงการต่างๆของรัฐ และลดภาระทางการเงินของรัฐบาลในการจัดหาสินค้าและบริการที่มีการลงทุนสูง อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกิจการของรัฐ โดยการนำเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการ ความจริงแล้ว การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการรัฐก็เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรูปแบบหนึ่งนั่นเอง เมื่อมีการแปรรูปแล้ว ก็จำเป็นต้องมีองค์กรกำกับดูแลที่ได้มาตรฐานสูงเพื่อไม่ให้มีการขึ้นราคาหรือค่าสาธารณูปโภคใดๆอย่างไม่เหมาะสม
ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น คือ การเปิดเสรีและเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น การแปรรูปและปฏิรูปรัฐวิสาหกิจต้องทำพร้อมกับการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการผ่องถ่ายผลประโยชน์และอำนาจจากองค์กรของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมาที่กลุ่มทุนเอกชนผู้รับสัมปทาน โดยสวัสดิการสังคมโดยรวมของสังคมจะแย่ลง