ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของกลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2030 และมีเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปีค.ศ. 2050 ผ่านการดำเนินงานในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้แผน BCP NET
เช่น การจัดตั้ง Carbon Markets Club ร่วมกับหลากหลายองค์กรในการลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำธุรกิจผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต แพลตฟอร์มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie สตาร์ทอัพรายแรกของประเทศไทย ที่บุกเบิกให้บริการแพลตฟอร์มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเครือข่ายสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่อัตโนมัติ โครงการ “หญ้าทะเล” หรือ “บลูคาร์บอน” เพื่อศึกษาความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน เพื่อดูดซับคาร์บอนในทะเล แผนการผลิต Sustainable Aviation Fuel (SAF) จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร ส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดอย่างยั่งยืน และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เป็นต้น
แหล่งจากจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว ล่าสุดกลุ่มบริษัท บางจากฯและบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ได้ร่วมมือกันกับบริษัท บริษัท ธนโชค ออย ไลท์ จำกัด จัดตั้งบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด ขึ้นมา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและจัดตั้งหน่วยผลิตใหม่ในโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เพื่อผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF กรอบการลงทุนประมาณ 6,000 – 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว จะเป็นการนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาต่อยอด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน โดยเบื้องต้นมีแผนเริ่มผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนด้วยกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน
ที่ผ่านมากลุ่มบางจากได้ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil Methyl Ester, UCOME) กับบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ จำกัด ไปแล้ว โดยบางจากฯ เป็นผู้มีสิทธิ์รับซื้อรายเดียวในประเทศไทย ด้วยปริมาณซื้อขายกว่า 5 ล้านลิตรต่อเดือน ดำเนินงานผ่านบริษัท BCP Trading จำกัด หรือ BCPT กิจการค้าน้ำมันในกลุ่มบางจากฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ค้าน้ำมันอิสระอันดับหนึ่งในตลาดสิงคโปร์ ในการวางแผนจัดจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้วสำหรับใช้ทั้งในและต่างประเทศ
“ไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้วกำลังเป็นที่ต้องการของธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วโลก จากกระแสตื่นตัวเรื่องความมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน เนื่องจากเป็นการนำเอาวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวภาพเหลือใช้จากภาคครัวเรือนมาใช้ประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจ “BCG” หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว โดยประเทศไทยมีอัตราการบริโภคน้ำมันพืชสูงถึง 900,000 ตันต่อปี และมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นทุกปี ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาต่อยอดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน และเป็นทางเลือกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์นั้นมีอัตราการปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 80%”
นอกจากนี้ กลุ่มบางจาก และบีบีจีไอ ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) ศึกษาและวิจัยในการนำเอทานอล มาผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าของเอทานอลจากการเปลี่ยนเป็นแก๊สโซฮอล์ ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในการผลิต SAF และช่วยส่งเสริมการพัฒนาเครือข่าย Supply Chain ของเชื้อเพลิงชีวภาพ ตอบรับความต้องการใช้งาน SAF ที่กำลังขยายตัวสูงขึ้นเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก พร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่การใช้พลังงานสะอาด
ปัจจุบันบีบีจีไอฯ มีโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายไบโอดีเซลและเอทานอล ด้วยโรงงานผลิตไบโอดีเซลกำลังการผลิตรวม 1 ล้านลิตรต่อวัน และโรงงานผลิตเอทานอลที่มีกำลังการผลิตรวมสำหรับเอทานอลทั้งหมด 8 แสนลิตรต่อวัน ทำให้มีความเชี่ยวชาญเต็มศักยภาพและพร้อมสนับสนุนการศึกษาครั้งนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าจากกระบวนการผลิตเอทานอลและสนับสนุนนวัตกรรมพลังงานสีเขียว ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในกลุ่มบางจากฯ