“แสนสิริ” อัดปีละ 500 ล้าน ผนึกพันธมิตร รุกบ้านทุกหลังลด CO2

01 ก.ย. 2565 | 10:49 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ย. 2565 | 18:05 น.

แสนสิริประกาศพันธกิจระยะสั้น-ระยะกลาง วาง 3 กลยุทธ์ ทุ่มปีละ 500 ล้าน สร้างนวัตกรรม เดินหน้าสู่ Net-zero ผนึกพันธมิตร-คู่ค้า-ลูกบ้าน ลดก๊าซเรือนกระจกยั่งยืนทุกมิติ เตรียมจับมือกว่า 10 พาร์ทเนอร์ ตั้งทีม R&D ปั้น Net-zero Home ครั้งแรกของอสังหาฯไทย

 

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า หลังจากประกาศความมุ่งมั่นในการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2593 เพื่อร่วมแก้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยประกาศพันธกิจระยะสั้น-ระยะกลาง หลังศึกษาและจำแนกแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแสนสิริ พบว่ามาจากองค์กรเพียง 2.2% และอีก 97.8% มาจาก Value Chain ทางอ้อมอื่น ๆ

 

“แสนสิริ” อัดปีละ 500 ล้าน ผนึกพันธมิตร รุกบ้านทุกหลังลด CO2

 

ทั้งนี้ แสนสิริมีแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัท (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ให้ได้ 20% ภายในปี 2568 และลดก๊าซเรือนกระจกของทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ให้อยู่ที่ 50% ในปี 2576 ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่

 

1.การก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ มุ่งประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับการการใช้นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดเป็น 100% ภายในปี 2568 ผ่านการขยายแผนการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% ให้กับบ้านแสนสิริทุกหลังทุกระดับราคา, ติดตั้ง Solar Roof ครบ 100% ในคลับเฮาส์ของทุกโครงการใหม่แสนสิริ, ติดตั้งระบบสูบน้ำและบำบัดน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Treatment Pump) ในพื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการ, เปลี่ยนรถส่วนกลางของบริษัทให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV 100% และเปลี่ยนการใช้น้ำมันของเครื่องจักรทุกชนิดมาใช้พลังงานไบโอดีเซล 100%

 

2.ออกนโยบายด้านธรรมาภิบาลเพื่อลดคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ภายใต้การดำเนินการ 3G ได้แก่ Green Procurement เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน มีแผนลดการใช้พลังงานและน้ำทั้งในการผลิตและการใช้งานระยะยาว ใช้วัสดุในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการใช้ทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ (Circular Economy) พร้อมวางเป้าหมายจัดซื้อวัสดุ Low-carbon ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันที่เกี่ยวข้อง ในสัดส่วน 30% ของวัสดุที่ผ่านการจัดซื้อโดยแสนสิริ ภายในปี 2568

 

Green Architecture & Design ออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน เช่น Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านเย็นช่วยประหยัดพลังงาน, Zero Waste Design การออกแบบที่ลดการสิ้นเปลืองและลดปริมาณขยะให้มากที่สุด Green Construction การก่อสร้างและพัฒนาโครงการอสังหา ริมทรัพย์ที่มีวัสดุเหลือใช้เป็นศูนย์ ตลอดจนใช้นวัตกรรมในการพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อย่นเวลาในการก่อสร้างให้มากที่สุดและก่อเกิด waste น้อยที่สุด

 

3.การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว ลงทุนในบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยงบประมาณปีละ 500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท ได้แก่ Sharge Management บริษัทไทย ผู้ให้บริการด้าน EV ครบวงจร Greenphyto Pte.บริษัทจากสิงคโปร์ ผู้ให้บริการระบบฟาร์มอัตโนมัติ และ Farmshelf Corporationบริษัทจากสหรับอเมริกา ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ระบบฟาร์มแนวตั้งอัตโนมัติภายในอาคาร

 

นายอุทัย กล่าวอีกว่า ในปี 2564 แสนสิริมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งสิ้น 229,486 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี มาจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัท 4,939.74 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีหรือคิดเป็น 2.2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดเท่านั้น แบงเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 คือ การใช้น้ำมันในการดำเนินงานของแสนสิริ 0.2% และขอบเขตที่ 2 คือ การใช้น้ำมันและพลังงานในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ 2%

 

ในขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่มาจากห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Value Chain) หรือขอบเขตที่ 3 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมที่ 224,547.24 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีหรือ 97.8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งเป็นการคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าของลูกค้าในอีก 60 ปีถึง 55% การซื้อวัสดุก่อสร้างจากคู่ค้า 29% การขนส่งสินค้าของคู่ค้า 2% และอื่น ๆ 14%

 

ทั้งนี้ แสนสิริวางแผนที่จะจับมือพันธมิตรกว่า 10 ราย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (Research & Development Team) เพื่อพัฒนาบ้านที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Home) ครั้งแรกของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยมีบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชั่นพลังงานโซลาร์ครบวงจรเป็นหนึ่งในพันธมิตร โดยมีเป้าหมายระยะสั้นและระยะกลางที่จะพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน (Low-energy Home) ภายในปี 2023 (พ.ศ.2566) และบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน 30% (Low-carbon Home) ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573)

 

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเทรนด์แห่งอนาคตและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ การใช้ AI ในการคำนวณการประหยัดพลังงานของที่อยู่อาศัย, การใช้ไฟเบอร์แทนเหล็กเส้นในการก่อสร้าง, การพัฒนานวัตกรรมการก่อสร้างแบบพรีคาสต์ให้ปลอ่ยคาร์บอนและของเสียเป็นศูนย์, หลังคาโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นและมีแบตเตอร์รี่กักเก็บพลังงานไว้ใช้ในเวลากลางคืน, กระเบื้องลอนมุงหลัง คาที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ระหว่างครัวเรือน, สวนที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และนวัตกรรมของเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าแห่งอนาคต เป็นต้น