นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า สสว. ได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย จัดทำโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่เข้าสู่ธุรกิจอนาคต Next Normal ปี 2565 เพื่อมุ่งพัฒนาและยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อผลักดันสินค้าและบริการเข้าสู่ธุรกิจอนาคตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในการแข่งขันทางธุรกิจ รวมทั้งวิถีชีวิตยุคใหม่ (Next Normal) ที่ทำพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยโครงการ Next Normal มีผู้สมัครเข้าร่วมมากกว่า 100 ราย และคัดเลือกเหลือ 53 ราย เพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งผู้ประกอบการจะมีโอกาสได้เรียนรู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติและการให้คำปรึกษาเชิงลึกจากโค้ชผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านธุรกิจและเฉพาะด้าน มากกว่า 30 ราย เช่น นวัตกรรมอาหาร เทคโนโลยีดิจิทัล โลจิสติกส์ ฯลฯ ซึ่งเป็นคณาจารย์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และนักธุรกิจที่มีประสบการณ์จริงจากหอการค้าไทย
ทั้งนี้ได้มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาสินค้า หรือการยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยี สร้างโมเดลธุรกิจและสินค้าต้นแบบ รวมถึงคำแนะนำในการทดสอบตลาด การนำเสนอในรูปแบบ Pitching การถ่ายภาพและคลิปวิดีโอ เพื่อเตรียมความพร้อมในการขายสินค้าทางช่องทางออนไลน์ และช่วงท้ายของโครงการมีโอกาสนำสินค้าออกสู่ตลาดจริง ผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และกิจกรรมบิซิเนส แม็ทชิ่งทำให้เกิดยอดขายได้ทันที โดยคาดผลลัพธ์ของโครงการจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่า 150 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พัฒนาหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการใหม่เข้าสู่ธุรกิจอนาคต Next Normal ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยในหลักสูตรเน้นแนวคิดที่ทันสมัย เป็นความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในยุคที่ต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อาทิ Value Proposition Canvas Business Model Canvas Design Project Technology Enablement Prototype development Market and Sales Strategy Business Valuation และ Pitching Preparation เป็นต้น
สำหรับเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้ประกอบการด้านอาหาร เกษตร และเครื่องสำอาง โดยหลังจากได้เข้าอบรมแล้ว ได้มีการสำรวจความต้องการในการพัฒนาธุรกิจพร้อมการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความต้องการพัฒนาตัวสินค้าให้มีนวัตกรรมที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น การพัฒนาสูตรอาหารในรูปแบบใหม่ ๆ หรือการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลหรือซอฟต์แวร์มาช่วยทางการขาย การตลาด การจัดการสินค้าคงคลัง โลจิสติกส์ รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจใหม่ในรูปแบบแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้า เป็นต้น โดยโครงการ Next Normal ได้มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละด้าน ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาเชิงลึก และร่วมพัฒนาผู้ประกอบการโดยใช้เวลากว่า 2-3 เดือนจนเห็นผลเป็นรูปธรรม
ด้าน นายสุรพงษ์ พินิจกลาง หัวหน้าโครงการ Next Normal กล่าวว่า หลังจากผ่านอบรมและให้คำปรึกษาเชิงลึกแล้ว ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ทัศนคติต่อการดำเนินธุรกิจ ที่ควรใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อเสริมสร้างความแตกต่าง รวมไปถึงได้ทดลองทำสินค้าใหม่ ๆ ออกมาเห็นเป็นรูปธรรม การได้ทดลองขายบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ชื่อดังอย่าง Shopee และการได้ทดลองนำเสนอสินค้าต่อคู่ค้าโมเดิร์นเทรด ในรูปแบบกิจกรรมบิซิเนส แม็ทชิ่งทำให้มองเห็นความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาจากโครงการฯ เป็นโครงการที่สร้างประโยชน์และรายได้ให้กับผู้ประกอบการแบบเห็นผลทันที