นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมสรุปแผนผลักดันการส่งออกเชิงรุกและเชิงลึก ร่วมกับทูตพาณิชย์ทั่วโลก และภาคเอกชน ว่า เพื่อผลักดันมูลค่าการส่งออกครึ่งปีหลัง 2565 ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 9 ล้านล้านบาท จึงได้สั่งการให้มีการปรับแผนทั้งเชิงรุกและเชิงลึก ภายใต้หลักคิด “รัฐหนุน เอกชนนำ” ร่วมกับทีมเซลล์แมนประเทศทั่วโลก
โดยจากเดิมกำหนดกิจกรรมเพื่อผลักดันการส่งออกในปี 2565 ไว้ที่ 185 กิจกรรม ให้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 530 ไม่ว่าจะเป็น เร่งรัด Mini-FTA ส่งเสริมการค้าระบบออนไลน์ การจับคู่เจรจาธุรกิจ การนำซอฟพาวเวอร์ใส่สินค้าและบริการของไทย การให้ความสำคัญกับ BCG การเร่งรัดการเดินหน้าตามนโยบาย รักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่และฟื้นตลาดเก่า รวมทั้งมุ่งเป้าเจาะตลาดเมืองรองเพิ่ม ใน 36 ประเทศ 105 เมือง
และเจาะตลาดสินค้าชนิดใหม่เพิ่มเติม เช่น ซาอุดีอาระเบีย โดยเน้นสินค้าก่อสร้างและการให้บริการด้านการก่อสร้าง ซึ่งซาอุดีอาระเบีย มีนโยบายสร้างเมืองใหม่และตลาดเฟอร์นิเจอร์ ตลาดสินค้าฮาลาล สำหรับตลาดจีนที่มณฑลกานซู่ มีมุสลิมจำนวนมาก หรืออาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นดาวเด่นในการส่งออกช่วงปีที่ผ่านมา จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดยุโรป เป็นต้น
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ ได้แก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคของภาคเอกชน โดยเฉพาะปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน และ ค่าระวางเรือมีราคาสูงมาก ทำให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีตู้คอนเทนเนอร์ให้ใช้ส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 12% ค่าระวางเรือปรับลดลงจาก 15,000 - 20,000 เหรียญสหรัฐ ลงมาเหลือ 7000 - 10,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ลดลงมาประมาณ 50%
“เรายังเปิดโอกาสให้เรือใหญ่มาเทียบท่าที่แหลมฉบังได้ มีส่วนช่วยเสริมให้มีพื้นที่เหลือ ส่งออกได้มากขึ้น โดยความร่วมมือจากกรมเจ้าท่า ออกประกาศให้เรือใหญ่เทียบท่าได้ตั้งแต่ 9 ก.พ.64 มีอายุ 2 ปี ซึ่งที่ประชุมจะขอความร่วมมือจากกรมเจ้าท่าต่ออายุไปอีก จะมีส่วนช่วยให้การส่งของเราคล่องตัวขึ้น จะมีพื้นที่เรือขนสินค้าไทยไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น” นายจุรินทร์ กล่าว