thansettakij
“พิชัย” รับเศรษฐกิจไทยแย่ ดันจีดีพีโต 3% ลุยซื้อหนี้เสีย 3 ล้านคน

“พิชัย” รับเศรษฐกิจไทยแย่ ดันจีดีพีโต 3% ลุยซื้อหนี้เสีย 3 ล้านคน

25 มี.ค. 2568 | 09:46 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มี.ค. 2568 | 11:30 น.

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง รับเศรษฐกิจไทยแย่มานาน ดันปีนี้จีดีพีโต 3% ลุยซื้อหนี้เสีย 3 ล้านคน เล็งออกสเตเบิลคอยน์ คลอดพ.ร.ก.ให้อำนาจก.ล.ต. ฟันปั่นหุ้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงที่ประชุมสภาฯ วาระอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เห็นด้วยกับคำกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีมาอย่างยาวนาน โดยจีดีพีขยายตัว เฉลี่ย 1.9% มาเป็นเวลานาน ซึ่งมาจากพื้นฐานโครงสร้างการลงทุน การส่งออก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในปีเดียว อย่างไรก็ตาม หากมองปีที่ผ่านมา จีดีพีขยายตัวได้ 2.5% โตขึ้นมากว่า 30% และปีนี้รัฐบาลวางเป้าจะผลักดันให้โตได้ไม่ต่ำกว่า 3% จะเป็นการเติบโตขึ้นไปอีก 20%

สำหรับการเดินหน้าแก้ไขหนี้นั้น โดยรัฐได้ดำเนินการแล้ว จากโครงการคุณสู้ เราช่วย ตอนนี้เข้ามาแล้ว 30% และคาดว่าทั้งหมดจะเข้ามา 50% อย่างไรก็ตาม หากดูหนี้ทั้งหมดมีอยู่ 13.6 ล้านล้านบาท จำนวน 5 ล้านคน ซึ่งเราจะไม่ซื้อหนี้ทั้งระบบ เพราะมีหนี้ไม่เสียปนอยู่ด้วย 6 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะดูเฉพาะหนี้เสียแล้ว และไม่ใช่หนี้เสียที่อยู่ระหว่างเจรจา มีหลักทรัพย์

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“เราจะดูเฉพาลูกหนี้มูลหนี้น้อย ไม่มีหลักทรัพย์ โดยมี 3 ล้านคน วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะซื้อหนี้เพื่อแก้ไขให้ท่าน โดยจะหาทางผ่อนปรนให้ลูกหนี้ โดยมีเงื่อนไขได้รับการผ่อนปรนเฉพาะกลุ่มนี้ และเมื่อหลุดจากหนี้แล้ว สามารถขอสินเชื่อแบงก์ได้ วันนี้เราได้ให้ออมสินนำร่อง ปล่อยกู้ประชาชนไม่มีเครดิต ตอนนี้มีคนเข้ามาแล้วกว่า 4.5 แสนบัญชี สูงกว่าคาดที่เตรียมไว้ 3 แสนบัญชี”

ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะเชื่อมโยงกับดิจิทัล วอลเล็ต คือ การเดินหน้าสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin) ซึ่งตามกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เราไม่สามารถพิมพ์เงินใหม่ขึ้นมาคู่ขนาน หรือแข่งกับธปท. ได้ แต่สาเหตุที่ทำ คือ เพื่อให้มีสภาพคล่องมากขึ้น เข้าถึงรายย่อยมากขึ้น

“ยกตัวอย่าง รัฐบาลเมื่อกู้หนี้ประชาชน ปกติเราออกมาปีละ 1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่วงเงินดังกล่าวไม่สามารถไปถึงผู้ที่มีเงินฝาก 1-2 หมื่นบาทได้ ฉะนั้น เราจึงทำให้มีสเตเบิลคอยน์ โดยจะทำให้การแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มได้ง่ายขึ้น ความหมาย คือ หากเป็นแม่ค้ามีเงินเก็บ สามารถไปซื้อพันธบัตรจากสเตเบิลคอยน์ ได้เลยแทนที่จะไปฝากเงินจากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ได้เป็นเงินใหม่ที่รัฐบาลพิมพ์”  

ส่วนเรื่องตลาดหุ้นนั้น เรื่องความได้เปรียบของนักลงทุนต่างประเทศต่อนักลงทุนไทย เราแก้ไขไปแล้ว 80-90%ด้านการเดินหน้าออกกฎหมายพ.ร.ก. ให้อำนาจคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตอนนี้อยู่ในชั้นทบทวน ทั้งกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“การให้อำนาจจะเลือกเฉพาะกรณีที่มีปัญหาจริง ยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นใน 1-2 ปีที่ผ่านมา กรณีที่เงินหายไปเลยวันเดียว 4 พันล้านบาท เราดูออกแต่ไม่มีอำนาจสอบสวน หรือเจรจาได้ สิ่งเหล่านั้นจะเพิ่มอำนาจให้ และทำงานควบคู่หน่วยสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสุดท้ายส่งฟ้องผ่านอัยการอยู่ดี”

สำหรับด้านการเกษตรนั้น ยอมรับว่ามีการส่งออกข้าวจำนวนมาก ราคาที่เราส่งออกเกือบจะเท่ากับต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ไม่มีกำไร ขณะนี้การผลิต 17 ล้านตัน บริโภคในประเทศ 11 ล้านตัน และส่งออก 6 ล้านตัน สิ่งที่ต้องทำคือ ลดการผลิตให้น้อยลง โดยใช้พื้นที่เพาะปลูกทำอย่างอื่น เช่น 14 ล้านไร่เพื่อปลูก อีก 12 ล้านไร่ต้องลดพื้นที่ปลูกข้าว และดึงสิ่งที่นำเข้ามาผลิตเอง โดยดูต้นทุนการนำเข้า เช่น ข้าวโพด หากทำให้ดี จะได้ไร่ละ 15,000-16,000 บาท ซึ่งเป็นโครงการ 3-5 ปีที่รัฐต้องดูแล

ขณะที่อุตสาหกรรมนั้น เราจะดูอุตสาหกรรมโครงสร้างเก่ายังคงอยู่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล้กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เทคโนโลยีไฮบริดเข้ามา โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีรถอีวี ต้องตัดสินอีกครั้งว่าประเทศไทยจะไปทิศทางใด อย่างไรก็ตาม นโยบายรัฐขณะนี้จะรักษาทั้งแพลตฟอร์มรถยนต์เก่า และให้ซัพพลายเชนอยู่ได้

นายพิชัย กล่าวว่า ด้านการให้บัตรส่งเสริมบีโอไอนั้น ขณะนี้การลงทุนมาจำนวนมาก เกิน 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา แต่เรานับเฉพาะการออกใบอนุญาตให้ โดยการลงทุนในปัจจุบันต่างจากอดีต เพราะมีการใช้เครื่องจักรกว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนนาน 3-5 ปี แต่ปัจจุบันตรงกันข้าม สิ่งที่เข้ามาลงทุนต้องการความรวดเร็ว ดังนั้น คาดว่าการเข้ามาลงทุนจะเห็นภายใน 2 ปี

ส่วนเรื่องพลังงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยอมรับว่า ราคาพลังงานในบ้านเราค่อนข้างแพง สิ่งที่จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ราคาควรจะอยู่ที่ 3.50 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ไทยมีต้นทุนโรงไฟฟ้า บวกด้วยค่าเชื้อเพลิง แต่เรามีสมมติฐาน คือ เรามีโรงไฟฟ้าที่สร้างมาเกินอยู่ 15-16% ทำให้ค่าไฟแพง แต่หากการใช้ไฟเพิ่มขึ้นมา เราจะนำกลับมาผลิตไฟ ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่สามารถขายไฟฟ้าได้ 1 หมื่นกว่าเมกะวัตต์

“ถ้าถามว่าจะมีดีมานด์ขึ้นมาถึง 1 หมื่นกว่าเมกะวัตต์หรือไม่ ขอเรียนว่า วันนี้ดาต้าเซ็นเตอร์หลายแห่ง รวมถึงไบโอพลาสติกที่จะเข้ามา ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว 2 เฟส โดยเฟสแรกยอมใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย มีอะไรก็ใช้ไปก่อน 5 ปี และจากนั้นจะไปใช้ไฟฟ้าสีเขียว ในเฟส 2 จากการผลิตเอง และจ่ายค่าสายส่งให้กับเรา และสุดท้ายการที่ค่าไฟฟ้าฟ้าจะราคาลดลงต้องเปลี่ยนโครงสร้างค่าไฟ จะเปลี่ยนเป็นชนิดที่ถูกลง ซึ่งไม่สามารถทำได้ทันที”

ขณะที่การท่องเที่ยวนั้น ยอมรับว่า จะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะเหมือนเดิม ถือเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่สิ่งที่จะทำได้ คือ คนที่เข้ามาแล้ว จะต้องทำให้เขาอยู่ให้นานขึ้นได้หรือไม่ และข้อมูลจากสาธารณสุข พบว่ากว่า 3-5 ล้านคน เข้ามาเมืองไทยเพื่อสาธารณสุข เป็นนักท่องเที่ยวที่มีมูลค่า ทั้งนี้ การที่จะทำให้อยู่นานต้องมีอะไรที่น่าอยู่ เราจะต้องมีรายการต่างๆ เหล่านี้

ทั้งนี้ ไทยต้องมีเครื่องจักร ซึ่งอย่างน้อยจะเกิดขึ้นภายใน 3-5 ปี จากการเพิ่มรถไฟรางคู่ โดยการขนส่งเราเตรียมตัวมาแล้วหลายปี รวมถึงรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมต่อตั้งแต่ฝั่งลาว ไปทางใต้ ส่งออกไปอันดามัน จะเป็นทั้งการส่งออก และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ โดยเราจะเป็นทางเลือกทางเดียวที่ออกได้หากมีการกระทบกระทั่งของ 2 ประเทศมหาอำนาจ