การผลิตไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเข้าสู่โหมดปรับตัวและเปลี่ยนผ่านเพื่อตอบโจทย์ด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ จากนโยบาย Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่นานาประเทศออกมาประกาศเจตนารมณ์ ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องสร้างเสถียรภาพในการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้รับซื้อ
ควบคู่ไปกับการสร้างผลกำไรให้มั่นคงในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจที่ต้องส่งมอบผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ด้วยเหตุนี้ ระบบโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ตลอดจนตลาดการซื้อ-ขายไฟฟ้าที่มีอยู่ในวงการไฟฟ้าจึงเป็นประเด็นที่น่าศึกษาเรียนรู้ หากเราทุกคนต่างต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพ กล่าวคือ ตอบโจทย์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ใครเป็นใครในตลาดไฟฟ้า
สำหรับตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าทั่วไป กว่าที่ไฟฟ้าจะส่งต่อมาถึงประชาชน มีผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิตไฟฟ้าภาครัฐและเอกชน ซึ่งเป็นผู้ผลิตทั้งรายใหญ่ (IPP - Independent Power Producer) รายเล็ก (SPP - Small Power Producer) และรายเล็กมาก(VSPP - Very Small Power Producer) ผู้ดูแลระบบสายส่งที่รับไฟจากผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆ ผู้จำหน่ายไฟฟ้าแบบขายปลีกให้ผู้ใช้รายย่อย สุดท้ายคือ ผู้บริโภคที่ใช้ไฟฟ้า
ในกรณีที่ไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคที่บริหารโดยภาครัฐ รัฐบาลจะรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดเพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชน และทำสัญญาซื้อ-ขายระยะยาวกับผู้ผลิต แต่หากไฟฟ้าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าเสรี จะมีกลไกที่กำหนดการซื้อ-ขาย ซึ่งผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่จำเป็นต้องขายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเพียงรายเดียว อาจจะขายให้กับบริษัทเอกชนที่จะกระจายไฟฟ้าให้กับรายย่อยอีกทอดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ระบบสายส่งมักจะยังอยู่ในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐ
นายกิรณ ลิมปพยอม ซีอีโอ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) ระบุว่า บ้านปูได้เรียนรู้และศึกษาตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าในแต่ละประเทศ ทำให้เข้าใจและเห็นถึงลักษณะเฉพาะของตลาดไฟฟ้าที่แตกต่างกันตลาดไฟฟ้าในต่างประเทศพบว่า
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างตลาดไฟฟ้าเสรี ตัวอย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ราคาไฟฟ้าจะสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง เนื่องจากผู้ผลิตที่มีอยู่หลายรายในตลาดจะแข่งขันกันในด้านราคา และพยายามควบคุมต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของตัวเองให้ได้ต่ำที่สุด
ซึ่งสุดท้ายแล้วจะส่งผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่สมเหตุสมผล ผู้ผลิตไฟฟ้าหลายรายเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายด้วย โดยภาครัฐก็จะมีส่วนร่วมในการเข้ามาบริหารจัดการระบบการซื้อ-ขายไฟฟ้าและมีมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันไฟฟ้าขาดแคลนหรือดับ
ในแง่ของการเปลี่ยนผ่านไปใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์หรือลมนั้น ปัจจุบันต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มถูกลงจนถึงระดับที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ หากมาพร้อมกับกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่ การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนก็จะขยายตัว เมื่อผนวกกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในราคาที่ต่ำลงเช่นกัน
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงปี 2010 เกิดการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต โดยเปลี่ยนจากถ่านหินไปเป็นก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน หรือ Shale gas ส่งผลให้ราคาไฟฟ้าในตลาดไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่มีแนวโน้มโดยเฉลี่ยลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาดไฟฟ้าในสหรัฐฯ เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมีราคาถูกกว่าถ่านหิน ซึ่งเหตุการณ์นี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 5-10 ปี ถ้าไม่ใช่รูปแบบตลาดไฟฟ้าเสรี” ดร.กิรณกล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านของเชื้อเพลิงในตลาดไฟฟ้าเสรีของสหรัฐอเมริกา
ผู้ผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในตลาดไฟฟ้าเสรีที่มีการแข่งขันสูง จะมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภค หากผู้ผลิตในตลาดรูปแบบนี้ส่วนใหญ่เลือกผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพในการผลิตต่ำ ก็จะทำให้สัดส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินหรือก๊าซฯ ที่มีเสถียรภาพในผลิตสูงหรือมีความสามารถในการผลิตได้ในปริมาณเท่าที่ต้องการมีจำนวนลดน้อยลงตามไปด้วย
ในบางครั้งจะทำให้เสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวมลดลง ส่งผลให้ราคาไฟฟ้าในตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้นกว่าปกติเพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาไฟดับได้ในบางช่วงเวลา บางตลาดไฟฟ้าในสหรัฐฯ ภาครัฐจะมีการออกนโยบายที่เกี่ยวข้องเป็นช่วงๆ หากกำลังการผลิตสำรองลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด หรือเห็นว่าในระบบไฟเริ่มไม่มีเสถียรภาพ ก็อาจจะมีนโยบายค่าตอบแทนเพื่อจูงใจ (Incentive) ให้กับโรงไฟฟ้าพื้นฐาน เพื่อทำให้ระบบโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขนาดของตลาดกำหนดสภาพการแข่งขัน?
รูปแบบตลาดไฟฟ้าเสรีเหมาะสมกับประเทศที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง และประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อสูง รวมถึงมีนโยบายและแผนพลังงานที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของเอกชน
อย่างไรก็ตาม บางประเทศที่มีขนาดเล็กและมีกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 40,000 - 50,000 เมกะวัตต์ ก็เริ่มเปิดให้มีการแข่งขันเสรีในตลาดแล้ว ตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์มีตลาดแบบประมูลซื้อขายไฟ (Wholesale Market) กำกับดูแลโดยหน่วยงานภาครัฐ แม้จะเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก แต่ด้วยผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ทำให้สามารถยอมรับค่าไฟในราคาที่แข่งขันกันและไม่มีการอุดหนุนจากภาครัฐได้
สำหรับสภาพตลาดในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่ BPP เข้าไปทำธุรกิจ เราจะเห็นรายละเอียดของตลาดที่มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อาทิ
รูปแบบของตลาดไฟฟ้าได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้ไฟฟ้า ประเภทของพลังงานที่ใช้ในการผลิต รวมถึงมาตรการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งภาครัฐของแต่ละประเทศก็จะมีส่วนในการกำหนดนโยบายด้านพลังงานเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ดังนั้น สภาพการแข่งขันในตลาดไฟฟ้า จึงเป็นอีกมิติหนึ่งที่น่าจับตาดูว่าจะมีบทบาทอย่างไรต่อความมั่นคงของพลังงานไฟฟ้า ความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจที่สะท้อนจากต้นทุนการผลิต และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ต้องพิจารณาสามเหลี่ยมทั้ง 3 ด้านนี้ให้สมดุลกัน