“ค่าไฟแพง”ทวงสัญญา“พีระพันธุ์”ลดค่าไฟ 40 สตางค์ ได้จริงหรือ?

ผ่านมาแล้วร่วม 6 เดือน นับตั้งแต่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ประกาศว่า สามารถลดค่าไฟลงได้ถึง 40 สตางค์ ต่อหน่วย แต่ถึงวันนี้ประชาชนยังต้องจ่ายค่าไฟในอัตราเดิม ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนระอุ ที่ทำให้การใช้ไฟสูงขึ้น

ย้อนกลับไปเมื่อเดือน ก.ย. 2567 “พีระพันธุ์” สั่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ชะลอ "แผนลดค่าไฟ" ที่เสนอให้ลดลง 17 สตางค์ ต่อหน่วย

โดยให้เหตุผลว่า แนวทางที่เขาจะดำเนินการสามารถลดค่าไฟได้มากกว่า ผ่านการบริหารจัดการเชื้อเพลิง หรือ ปรับพอร์ต Pool Gas ซึ่งหมายถึงการปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ทั้งจาก ก๊าซอ่าวไทย ก๊าซจากเมียนมา และ LNG นำเข้า ที่มีราคาผันผวนสูง

มีการตั้งความหวังว่า จะทำให้ค่าไฟลดลงได้ถึง 40 สตางค์ และทันใช้งานในรอบบิล พ.ค.-ส.ค. 2568

แต่เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2568 ที่ประชุมบอร์ด กกพ. กลับมีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.15 บาท ต่อหน่วยเท่าเดิม นั่นหมายความว่า การลดค่าไฟครั้งใหญ่ที่เคยสัญญาไว้ยังไม่เกิดขึ้น

คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้นกับแนวทางที่เคยประกาศไว้?

คณะทำงานที่ตั้งขึ้นเพื่อศึกษาการลดค่าไฟ ได้ข้อสรุปหรือยัง? หรือสุดท้ายแล้ว การลดค่าไฟ 40 สตางค์ อาจเป็นเพียงแค่การหาความนิยมทางการเมือง?

ที่สำคัญ “พีระพันธุ์” เองเป็นคนเบรกแผนลดค่าไฟ 17 สตางค์ของ กกพ. โดยให้เหตุผลเรื่องการทบทวนสัญญาซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า แนวทางดังกล่าวจะสามารถลดค่าไฟได้จริงหรือไม่?

กกพ. ยืนยันว่า พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน ให้อำนาจ คณะกรรมการกิจการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี "นายกรัฐมนตรี" เป็นประธาน ในการทบทวนและแก้ไขสัญญาซื้อไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูงเกินจริง แต่การดำเนินการยังดูคลุมเครือ

ดูๆ แล้ว ประชาชนยังคงต้องจ่าย “ค่าไฟ”  ในอัตราเดิม

ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนที่สุดของปี “พีระพันธุ์” จะสามารถทำตามสัญญาได้หรือไม่? ประชาชนกำลังรอคอยคำตอบอยู่...