กมธ.เรียก รฟม.-เอกชน เคลียร์ปมรถไฟฟ้าสายสีส้ม 3 ต.ค.นี้

22 ก.ย. 2565 | 05:57 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2565 | 13:08 น.

ลุ้น 3 ต.ค.นี้ “สุรเชษฐ์” จ่อถกรฟม. -2 เอกชน แจงกมธ.บริหารงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานฯ ปมปรับเกณฑ์ใหม่ ล็อคสเปคประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม กีดกันการแข่งขัน เผยตัวเลขผลประโยชน์ทิ้งห่าง 6.8 หมื่นล้านบาท

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยกรณีการประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีแนวโน้มสูงว่าผู้ชนะคือบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนื่องจากคู่แข่งคือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ BTS ถูกกีดกันไม่ให้เข้าประมูล ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายของรัฐบาลกว่า 68,000 ล้านบาท  ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มเมื่อปี 2563 รฟม. ภายใต้การกำกับดูแลของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลังออกประกาศเชิญชวนได้มีเอกชนยื่นซองตาม ซึ่งมีบริษัทเอกชนที่ดำเนินกิจการเดินรถไฟฟ้า 2 เจ้าใหญ่ในประเทศไทย คือ BTS และ BEM เข้าร่วมประมูล

 

 


สำหรับการประมูลรอบที่ 2 นี้มีข้อน่ากังขาหลายประการ มีการล็อกสเปคด้วยการนำเอาผู้รับเหมาก่อสร้าง มาเป็นคู่เทียบการเดินรถโดยเสนอราคาที่สูงเกินราคากลาง จนกล่าวได้ว่ามีการกีดกันการแข่งขันไม่ให้ BTS เข้าร่วม จนไม่เกิดการแข่งขันกันจริง ๆ นอกจากนี้ ยังมีความเร่งรีบผิดปกติในขั้นตอนการพิจารณาซองที่ 2 :ข้อเสนอด้านเทคนิค 11 กล่อง ซึ่งปกติต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ รฟม. กลับพิจารณาเสร็จภายใน 10 วันเท่านั้น
 

นายสุรเชษฐ์  กล่าวต่อว่า ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สุรเชษฐ์ เตรียมเชิญทั้ง BTS และ รฟม. มาชี้แจงในที่ประชุมอนุกรรมาธิการ ในวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม เวลา 14:00 โดยจะขออนุญาตที่ประชุมทำการ Live การชี้แจงในครั้งนี้ด้วย และขอเชิญประชาชนทุกคนร่วมติดตามประเด็นนี้ไปด้วยกัน 

 

“จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้มา หากไม่มีการเปลี่ยนเกณฑ์ระหว่างการประมูลในปี 2563 ในรอบแรก BTS จะเป็นผู้ชนะโดยรัฐอุดหนุนเพียง 9,675 ล้านบาทเท่านั้น แต่ด้วยเงื่อนไขการประมูลในปัจจุบัน กลายเป็นว่ารัฐจะต้องอุดหนุนเงินให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มแก่ BEM คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสูงถึง 78,288 ล้านบาท นำไปสู่คำถามสำคัญ ว่าส่วนต่าง 68,613 ล้านบาทหายไปไหน และเหตุใดประชาชนต้องมาแบกความรับผิดชอบนี้”