ณ เวลานี้ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐในยุค “ทรัมป์ 2.0” ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบทางด้านลบต่อการส่งออกสินค้าไทยมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มส่งออกสำคัญในลำดับต้น ๆ ของไทยไปตลาดสหรัฐ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ผลิตภัณฑ์พลาสติก ข้าว เป็นต้น
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2568 ทางสรท.ยังคาดการณ์การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 1-3% ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าว ยังไม่รวมปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐ ที่ประกาศจะใช้อัตราภาษีต่างตอบแทน หรือภาษีตอบโต้ โดยจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าในอัตราเดียวกับที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสหรัฐ
ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เผยว่าจะมีการใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายนนี้ หลังจากมีหลายฝ่ายเข้าพบเพื่อขอรับการยกเว้น อย่างไรก็ดีเรื่องดังกล่าวสหรัฐเปิดโอกาสให้ประเทศคู่ค้าในการเจรจาต่อรอง ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) เป็นเทรดดีล ซึ่งความน่ากังวลคือผลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง
ในเรื่องนี้ ประเทศไทยควรศึกษาแนวทางการเจรจา โดยศึกษาข้อมูลจาก 3 กลุ่ม เพื่อไว้เตรียมไปเจรจากับสหรัฐได้แก่
กลุ่มที่ 1 ประเทศที่สหรัฐมีการปรับขึ้นภาษีและมีผลบังคับใช้แล้ว อาทิ จีน แคนาดา เม็กซิโก
กลุ่มที่ 2 ประเทศที่กำลังมีการเจรจากับสหรัฐ ได้แก่ สหภาพยุโรป (อียู) อินเดีย
กลุ่มที่ 3 ประเทศที่ยังไม่ถูกขึ้นภาษี เช่นประเทศในกลุ่มอาเซียน ว่ามีแนวทางในการเจรจากับสหรัฐอย่างไรบ้าง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเจรจาของไทยกับสหรัฐ
“หากสหรัฐมีการปรับขึ้นภาษี สินค้าไทยในกลุ่มหลัก ๆที่จะได้รับผลกระทบในการส่งออกไปสหรัฐอยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ที่น่าห่วงคือ นโยบายดึงการลงทุนกลับสหรัฐในสินค้าด้านเทคโนโลยีที่จะปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไทยจะยังได้อานิสงส์จากการลงทุนต่างประเทศในไทยอย่างต่อเนื่องหรือไม่”
ในอีกด้านหนึ่งสินค้าด้านเทคโนโลยี และอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ แผงวงจรพิมพ์(PCB Board) ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเบา สามารถก่อสร้างโรงงานได้ง่ายและเร็วกว่าอุตสาหกรรม นํ้ามัน หรือปิโตรเคมี สามารถที่จะย้ายกลับไปสหรัฐได้ง่าย หากมีสิทธิประโยชน์ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ดีรองรับ
ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
นายชัยชาญ กล่าวยอมรับว่า การที่ไทยจะลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกา (ตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วน 18% ของการส่งอออกไทยโดยรวมในปี 2567) ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ โดยได้ยกตัวอย่างหากมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐลดลง 5% จะเท่ากับมูลค่าการส่งออกของไทยไปประเทศแอฟริกาใต้ทั้งปี
ดังนั้นผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐควรมีแผนรองรับความเสี่ยง อาทิ การมองหาตลาดอื่นชดเชย การหารือกับผู้นำเข้าหรือทูตพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และเตรียมรับการรับมือร่วมกัน และเร่งใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีอยู่อย่างเต็มที่ เนื่องจากสงครามการค้าในครั้งนี้คาดมีความรุนแรง ยาวนาน และจะสร้างความยุ่งเหยิงในการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เวลานี้เหมือนระเบิดเวลาใกล้เข้ามาทุกวัน เพราะฉะนั้นไทยต้องมีแผนตอบโต้ความเสี่ยงที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจจะถอดบทเรียนจากประเทศที่ถูกขึ้นภาษีไปแล้ว และประเทศต่าง ๆ รอบบ้านเราว่าเขามีมาตรการอย่างไร และนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของไทยเพื่อมองไปข้างหน้าในระยะยาวด้วย”