นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงกรณีที่ กระทรวงการคลังอินเดียประกาศเมื่อวันที่8 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า จะมีการจัดเก็บภาษีส่งออกข้าวเปลือกและข้าวกล้องที่ระดับ 20% ขณะเดียวกัน การส่งออกข้าวกึ่งขัดสีและข้าวขาว ยกเว้นข้าวนึ่งและข้าวบาสมาติ
จะถูกเก็บภาษีด้วยเช่นกัน โดยข้าวจัดเป็นสินค้าเกษตรสำคัญลำดับ 3 ของอินเดียที่ต้องเผชิญการควบคุมการส่งออกไปยังต่างประเทศในปีนี้ เนื่องจากการเพาะปลูกข้าวของอินเดียลดลง 5.6% ในฤดูกาลนี้ เพราะขาดแคลนฝนในบางพื้นที่ และปริมาณฝนในฤดูมรสุมนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกิน 25% ในรัฐสำคัญ ๆ ที่เพาะปลูกข้าว เช่น รัฐอุตตรประเทศ, ฌารขัณฑ์ และพิหาร
แน่นอนว่าการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวของรัฐ จะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น และจะส่งผลดีต่อประเทศผู้ค้าข้าวรายอื่น ๆ เช่น ไทย เวียดนาม และปากีสถาน เพราะอินเดียส่งออกข้าว40% มีผลผลิตปีละ20-21ล้านตัน ยกตัวอย่างเช่น ข้าวขาว5% อินเดียส่งออกปีละ9ล้านตัน รวมปลายข้าวการขึ้นภาษีส่งออกข้าวของอินเดียน่าจะส่งผลให้ราคาข้าวทั่วโลกปรับขึ้นรวมทั้งของไทย
และเวียดนามด้วย เช่น ราคาข้าวอินเดียข้าวขาว5% ราคาอยู่ที่350ดอลลาร์สหรัฐต่อตันถ้ามีการขึ้นภาษี20%หรือปรับขึ้นมา70ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน รวมกันก็ประมาณ420ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาใกล้เคียงกับไทย ผู้ส่งออกก็จะหันมาซื้อข้าวไทยมากขึ้นเพราะคุณภาพดีกว่า
“ราคาข้าวไทยจะขยับสูงขึ้นแค่ไหน ก็ต้องดูนโยบายของอินเดียว่าที่ประกาศออกมากี่เดือน จะเป็นระยะสั้นๆหรือยาวๆไปถ้าเป็นระยะยาวก็ส่งผลดีต้องราคาข้าวทั่วโลก รวมถึงของไทยด้วย และยังส่งผลให้ราคาข้าวเปลือในประเทศขยับตาม ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลดีต่อข้าวไทยที่ส่งออกได้ราคาดีเพราะไทยไม่มีเรื่องซัพพลายและผู้ซื้อก็เชื่อมั่นในคุณภาพของข้าวไทยภาพรวมมองว่าจะเป็นผลดีต่อราคาข้าว”
ส่วนการส่งออกในช่วงเดือนที่เหลือน่าจะเฉลี่ยเดือนละ6-7แสนตัน ทั้งเป้าทั้งปี7.5ล้านตันปีนี้น่าจะทะลุไปที่8ล้านตันหรือมากกว่านั้นก็คงต้องลุ้นอีกที่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรมาพลิกผันหรือไม่