นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 54 จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายของปีนี้ เพื่อสรุปผลสำเร็จรายงานต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ในเดือนพฤศจิกายนนี้
โดย ที่ประชุมมีมติในประเด็นสำคัญเพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาค และการเตรียมการอาเซียนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ แผนการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน ซึ่งมีการขยายระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว ให้ครอบคลุมกิจกรรม ณ ท่าเรือระหว่างประเทศ และจุดผ่านแดน การเร่งรัดการให้สัตยาบันความตกลง RCEP ของสมาชิกที่เหลือ ภายในปีนี้
เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากความตกลงได้อย่างเต็มที่ การเร่งเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการค้ายุคใหม่ ได้แก่ ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ATIGA) ความตกลง FTA อาเซียน-อินเดีย อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และอาเซียน-จีน และการเจรจาจัดทำความตกลง FTA กับคู่เจรจาใหม่ อาทิ อาเซียน-แคนาดา (ACAFTA) ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งการขยายตลาดและอำนวยความสะดวกทางการค้าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เร่งดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอนของอาเซียน และเร่งสรุปองค์ประกอบสำคัญ (Core Elements) ของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ภายหลังปี 2568 พร้อมกับรายงานผลการประเมินความพร้อมการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต ในส่วนของเสาเศรษฐกิจ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียนในเดือน พ.ย.นี้
“รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้พบหารือกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) เพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือระยะยาว โดยจะร่วมมือกันด้านการใช้ประโยชน์ของระบบทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์และนวัตกรรมให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และสตาร์ทอัพ สำหรับการพบหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) ได้แลกเปลี่ยนความเห็นประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญและดำเนินการในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้อาเซียนรักษาโอกาสและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในตลาดโลกได้ในอนาคต “
ทั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้ร่วมรับรองและให้ความเห็นชอบเอกสารสำคัญ อาทิ แผนดำเนินงานตามกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี ค.ศ. 2023-2030 ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตงานและกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนฯ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เอกสารขอบเขตการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งเป็นการยกระดับความตกลงที่มีอยู่ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการค้าในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังให้มีการเปิดตลาดเพิ่มเติม ปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าและเอื้อต่อการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น และเอกสารเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ อาทิ กลุ่มประเทศบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) สหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร ซึ่งจะเป็นกลไกที่สำคัญในการช่วยกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค. 2565) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 75,628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 19% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 43,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 18.7% และไทยนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 31,928 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 20% ตลาดที่มีมูลค่าสูงสุด 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์