ชี้เสินเจิ้นห่างชั้นฮ่องกง ฝันศูนย์กลางการเงินโลก

นักเศรษฐศาสตร์ไทยเชื่อ ฟิทช์ลดเครดิตการเงินฮ่องกง ดันต้นทุนกู้สูงขึ้น มอง 3-5 ปียังคงฐานะศูนย์กลางการเงิน เชื่อทางการจีนชั่งนํ้าหนักปิดเกมไม่ยืดเยื้อ คลังรับกระทบส่งออก แต่ได้อานิสงส์ท่องเที่ยว-ลงทุนพุ่ง

เหตุการณ์ประท้วงต่อต้านร่างรัฐบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนในฮ่องกง ที่ยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น จนเกรงว่าจะกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ฯ ปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของฮ่องกงจากระดับ AA+ ลงสู่ระดับ AA และยังให้มุมมองความน่าเชื่อถือของฮ่องกงเป็น “เชิงลบ” ขณะที่ฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกและเป็นเกตเวย์สู่จีนแผ่นดินใหญ่  จึงเริ่มมีคำเตือนจากประเทศรอบนอก หากฮ่องกงยังอยู่ในเหตุการณ์ประท้วงต่อเนื่องระยะยาวอาจจะไม่เป็นผลบวกต่อศูนย์กลางทางการเงินแห่งนี้

นายนริศ สถาผลเดชา เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์ เศรษฐกิจทีเอ็มบีเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า สถาบันการเงินต่างประเทศยังคงมีเรตติ้งติดกับบริษัทแม่ ถ้าเรตติ้งไม่แย่กว่านี้เชื่อว่า ไม่กระทบระบบการเงินระยะสั้น ซึ่งด้วยสถานะฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการเงิน การปรับลดเรตติ้งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของการระดมทุนออกตราสารหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯมีต้นทุนสูงขึ้น 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า การปรับลดเรตติ้งทางการเงินของฮ่องกงลง 1 สเต็ปสะท้อนความแข็งแกร่งไม่เต็มที่และอาจจะมีความเสี่ยงต่อภาคการเงิน แต่ไม่น่าจะกระทบความเป็นศูนย์กลางการเงินในระยะสั้น แต่การปรับลดเรตติ้งเป็นการเตือนฮ่องกงอาจจะสูญเสียความสามารถในระยะยาว หากสถานการณ์ประท้วงยืดเยื้อและขยายวงและเกิดความไม่สะดวกต่อการเดินทาง แต่เชื่อว่าในระยะ 3-5 ปี ฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางการเงินและการลงทุนได้อย่างเสรี เพราะมีความเป็นประชาธิปไตย

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯกล่าวว่า ฮ่องกงเป็นเขตเศรษฐกิจของทางการจีน ซึ่งไม่ใช่แค่ประเด็นเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ครอบคลุมในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านกฎหมายที่เป็นมาตรฐานโลกที่อังกฤษได้วางไว้ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศวางใจและนักธุรกิจหรือพ่อค้ามีความคุ้นเคยกรอบกฎหมายดีอยู่แล้ว ทำให้ฮ่องกงมีลักษณะเศรษฐกิจบริการและการค้า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินเอเชีย รวมทั้งสิงคโปร์และฮ่องกงเป็นเมืองหน้าด่านสู่จีนแผ่นดินใหญ่ปัจจุบัน จึงมีสำนักงานตัวแทนภาคการเงินจากทั่วโลก ซึ่งโลกสมัยใหม่สามารถพบเจอบนดิจิทัลได้

“เหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกงยังไม่จบ ซึ่งทางการจีนต้องชั่งนํ้าหนัก เพราะฮ่องกงมีประโยชน์ต่อจีน ขณะที่ทางการจีนระมัดระวังและคิดรอบด้านพร้อมทั้งพัฒนาเซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น แต่ต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงเร็วเกินที่จะไปถึงจุดภาคการเงินหรือสำนักงานตัวแทนทางการเงินจะประกาศไม่อยู่ในฮ่องกง ถ้าสถาน การณ์ไม่ถึงขั้นวิกฤติ”

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า การชุมนุมในฮ่องกงกำลังส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจฮ่องกง ซึ่งนอกจากการเป็นศูนย์กลางการเงินโลกที่สำคัญแล้วยังกระทบกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศและความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย  โดยเห็นได้จากการตัดสินใจระงับการลงทุนชั่วคราวในฮ่องกงของนักลงทุนต่างๆ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อเนื่องในระยะกลางและยาวมากขึ้น ขณะที่การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของฮ่องกงก็ปรับตัวลดลงกว่าครึ่ง ส่งผลไปยังร้านค้าปลีกและร้านอาหารต่างๆ รายได้ลดลง ถือเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองเป็นอย่างมาก

ปัญหาเหล่านี้ยังเป็นลูกโซ่กระทบมายังเศรษฐกิจไทยได้ โดยเฉพาะการส่งออกไปฮ่องกงเดือนมิถุนายนติดลบถึง 10% แม้จะขยับตัวเป็นบวก 4.7% ในเดือนกรกฎาคม แต่หากนับ 7 เดือนแรกของปียังหดตัว 7.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งไทยมีมูลค่าส่งออกไปฮ่องกง 5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นคู่ค้าอันดับ 8 ของไทย 

“ไทยได้รับผลบวกบ้าง โดยเฉพาะท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาไทยเพิ่มขึ้น ทำให้เดือนกรกฎาคมขยายตัวเร่งขึ้น 5.8% หลังจากหดตัวต่อเนื่องมา 5 เดือน คนฮ่องกงเองก็หนีการชุมนุมมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเดือนกรกฎาคมขยายเร่งขึ้น 3.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน”

นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่นักลงทุนจากฮ่องกงและประเทศอื่นๆ จะหันมาลงทุนในไทยมากขึ้น ล่าสุดมีนักลงทุนฮ่องกงเข้ามาลงทุนในไทยเดือน กรกฎาคมเพิ่มอีก 4 ราย เป็นเงิน 2,410 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันฮ่องกงเป็นนักลงทุนโดยตรงอันดับ 5 ของไทย คิดเป็น 7.2% ของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด 

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3504 วันที่ 12-14 กันยายน 2562