ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวน และนักลงทุนหันไปหาการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยแทน แต่ในหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย อีกทั้งยังปลอดภัยจากการที่มีรายได้สม่ำเสมอตายตัวอย่าง “กลุ่มโรงไฟฟ้า” มักจะได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นประจำ ด้วยความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการขยายการลงทุนต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีผลการดำเนินงานที่มั่นคง โดยเฉพาะ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) ที่ถึงแม้จะโดนเทขายจาก Asian Development Bank (ADB) ก็ยังคงเดินหน้าขยายกิจการต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทได้มีการซื้อขายรายใหญ่(Big lot) จาก ADB เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 โดยเป็นการซื้อขาย Big lot หุ้น BGRIM จำนวน 2 รายการ ที่ราคาเฉลี่ย 50.80 บาท คิดเป็นมูลค่า 3,454.39 ล้านบาท และซื้อขายหุ้น GULF จำนวน 2 รายการ ที่ราคาเฉลี่ย 35.15 บาท คิดเป็นมูลค่า 6,186.40 ล้านบาท นอกจากนี้ GULF ยังแจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 10,666.5 ล้านหุ้น เป็น 11,733.15 ล้านหุ้น โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 1,066.65 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) อัตราส่วน 10 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ราคาขาย 30 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมายผู้ถือหุ้นไม่ได้รับสิทธิเพิ่มทุน (XR) วันที่ 6 สิงหาคม 2563 และจองซื้อ-ชำระเงินค่าหุ้นวันที่ 14-18 กันยายน 2563 ทั้งนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 31,999.5 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผู้บริหาร GULF-BGRIM ยันไม่กระทบ "เอดีบี"เทขายปรับพอร์ตลงทุน
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากปัจจุบันมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 47 โครงการรวม 3,019 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาอีกหลายโครงการรวมเป็นกำลังการผลิตทั้งหมด 3,547 เมกะวัตต์ รวมถึงตั้งเป้าหมายมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือ PPA 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565 และคาดว่าผลการดำเนินงานสามารถเติบโตในกรอบ 10-15%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า GULF ประกาศเพิ่มทุน 1,060 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้น 10% ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ราคา 30.00 บาท คิดเป็นส่วนลด 19% จากราคาหุ้นในกระดานวันที่ 22 กรกฎาคม ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบ ซึ่งมองว่า บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุน และมีงบการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว มี Net Gearing ที่ 2 เท่า แม้ว่าจะรวมการซื้อกิจการของ Borkum Riffgrund แล้วก็ตามยังต่ำกว่าข้อกำหนดของบริษัทที่ 3 เท่า โดยเชื่อว่า GULF จะนำเงินที่ได้ 50% ไปชำระหนี้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และตั้งสำรองที่เหลือเผื่อการลงทุนในอนาคต และคาดอัตราการ Gearing ในอนาคตอยู่ที่ 1 เท่าสำหรับปี 2564
ขณะเดียวกัน มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ GULF จะนำเงินไปลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) แม้จะมีโอกาสไม่มากก็ตาม โดยคาดผลตอบแทนจากเงินปันผลของ INTUCH ที่ 4.7% สำหรับปี 2564 เทียบกับ WACC ของ GULF ที่ 4% แต่มองว่าการนำเงินไปลงทุนในโครงการอื่นๆ ในอนาคตจะดูมีผลตอบแทนที่สูงกว่า ทั้งนี้ แนะนำ “ถือ” จากความเสี่ยงเชิงลบคือ การปิดปรับปรุงโรงไฟฟ้า, ความล่าช้าในการลงทุน และการก่อสร้าง
บล.เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า BGRIM ยังคงเป็นหุ้นที่ยังมีความน่าสนใจมาก หลังราคาหุ้นได้ย่อตัวลงแรง จากความกังวลว่าอาจเพิ่มทุนเช่นเดียวกันกับ GULF แต่ทางผู้บริหาร BGRIM ยืนยันว่าไม่มีแผนเพิ่มทุน นอกจากนี้ ยังมีทิศทางกำไรที่ดีต่อเนื่องทั้งในระยะสั้น ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าชธรรมชาติที่ลดลง คาดทิศทางกำไรครึ่งปีหลัง ปี 2563 จะโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก ขณะที่ระยะยาว คาดการเติบโตของกำไรจะทำ New High ต่อเนื่อง ในอีก 4 ปีข้างหน้า หรือปี 2563-2566
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,595 วันที่ 26 - 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563