สภาวะเศรษฐกิจ ในประเทศปัจจุบัน ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์ โควิด-19 ส่งผลให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย สู่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เงินฝากธนาคารและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ทิศทาง ดอกเบี้ย จะอยู่ในระดับต่ำไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี ทำให้การลงทุนใน หุ้นปันผล (Defensive Yield), หลักทรัพย์ประเภทกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงตราสารหนี้ภาคเอกชน เป็นทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจกว่าการฝากเงินในธนาคารหรือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีสภาพคล่องสูง
บลจ.เอ็มเอฟซี จึงเสนอขาย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี แฮปปี้ อินคัม พลัส (MIPLUS) ระหว่าง 3-7 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสม มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Investment Grade ตราสารทุน ได้แก่ หุ้นปันผลที่กระแสเงินสดมีความสม่ำเสมอ และได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย (Defensive Yield) เช่น หุ้นในกลุ่มสื่อสาร (Telecom) และหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
5 เรื่องต้องติดตามกับเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง
สภาพัฒน์ เตรียมชง ครม.เห็นชอบเงินกู้ฟื้นศก.รอบสอง 8.3 พันล้าน
กองทุน MIPLUS จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของ NAV รวมถึงลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade), ตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated securities), ตราสารทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (unlisted securities) ทั้งในและต่างประเทศ และ/หรือ ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
“จุดเด่นของ MIPLUS เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ที่มีความสามารถหรือสร้างรายได้ให้กับผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภาวะตลาดที่มีความผันผวน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนหรือแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศและได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ และผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวประมาณ 1-3 ปีขึ้นไป ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป”
ที่มา: บลจ.เอ็มเอฟซี